.

.

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แปลนวนิยายเรื่องสั้น: ซาน ฟรานซิสโก





ซาน ฟรานซิสโก

1.เมืองแห่งเนินเขา

            ทุก ๆ ปี นักท่องเที่ยวราว 16 ล้านคนเดินทางเข้ามายังเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้คนส่วนใหญ่มาถึงเมืองอัศจรรย์ในรัฐแคลิฟอร์เนียแห่งนี้โดยรถส่วนตัว รถโดยสารประจำทาง หรือโดยเครื่องบิน แต่บางคนเลือกที่จะโดยสารมากับรถไฟและทอดข้ามสะพานเมืองบนทางรถไฟอันเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง
            คุณสามารถขึ้นรถไฟได้ในรัฐนิวยอร์กซึ่งตั้งอยู่ทาวทิศตะวันออก และสำรวจท่องเที่ยวเมืองชิคาโกที่นั่น คุณสามารถพบการผจญภัยนอกหน้าต่างบนรางรถไฟที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโลก คุณจะเห็นแม่น้ำที่ไหลอย่างรวดเร็ว ภูเขาสีแดง ต้นไม้ใหญ่สีเขียวและสัตว์ป่าอีกมากมาย

            อันดับแรก คุณจะผ่านเมืองและหมู่บ้านของรัฐไอโอและรัฐเนบราสก้า ต่อไปก็จะผ่านเทือกเขาร็อกกี้และเมืองยูทาร์ และสิ้นสุดด้วยเทือกเขาที่มีชื่อเสียงอย่างเซียราเนวาดา สามวันหลังจากที่คุณได้ออกจากรัฐนิวยอร์ก คุณก็จะเข้าสู่เมืองซานฟรานซิสโก เป็นการเดินทางที่อัศจรรย์และสวยงามที่สุด
            ทางรถไฟข้ามเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกานี้ได้เปิดครั้งแรกในปี ค.ศ. 1869 ผู้คนกว่าพันคนใช้เส้นทางนี้เพื่อเดินทางไปยังเมืองซานฟรานซิสโก หลังจากนั้นเมืองนี้ก็ได้เติบโตเรื่อยมา ผู้คนทั้งชายและหญิงเริ่มขนานนามสถานที่ที่สุดตื่นเต้นนี้ว่า “กรุงปารีสแห่งเมืองทิศตะวันตก” นักท่องเที่ยวในช่วงแรก ๆ นี้เดินทางเข้าสู่เมืองซานฟรานซิสโกเพราะต้องการหาเงินและมีชีวิตใหม่ แต่เพราะอะไรผู้คนนับล้านในปัจจุบันถึงได้เดินทางสู่เมืองนี้
            นักท่องเที่ยวหลาย ๆ คนสนใจในสถานที่ที่มีชื่อเสียง พวกเขาต้องการเดินชมสะพานโกลเด้นเกตอันน่าอัศจรรย์ นั่งพักในสวนสาธารณะโกลเด้นเกจพาร์ค หรือไม่ก็เยี่ยมชคุกบนเกาะอัลคาทราส
            แต่พวกเขาก็ต้องการที่จะเห็นทิวทัศน์ที่ดีด้วย เมืองซานฟรานซิสโกตั้งอยู่ใกล้กับเกาะซึ่งมีน้ำทะเลทั้งสามด้านของเกาะ มีมหาสมุทรแปซิฟิกทางด้านทิศตะวันตก หาดซานฟรานซิสโกอยู่ทางด้านทิศตะวันออกและสะพานโกลเด้นเกตที่มีชื่อเสียงอยู่ทางตอนเหนือ เมืองแห่งนี้เล็กกว่าเมืองอื่น ๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะมีประชากรเพียง 8 แสนคน แต่ผู้คนต่างอาศัยอย่าวกับเมืองโอ๊คแลนด์ที่ห่างออกไป 13 กิโลเมตร และทุก ๆ วันผู้คนจะเดินทางมาทำงานในเมืองซานฟรานซิสโก
           
มีเนินเขาราว 70 ลูกในเมืองซานฟรานซิสโก ดังนั้นมันจึงเป็นสถานที่ที่สุดยอดสำหรับช่างภาพ คุณสามารถยืนบนเนินเขาแล้วถ่ายรูปด้วยภาพที่น่าอัศจรรย์ของเมืองซานฟรานซิสโกด้วยน้ำทะเลสีน้ำเงินเบื้องหลังเนินเขา แต่คุณจำเป็นที่จะต้องรีบถ่ายภาพเพราะสภาพอากาศที่นั่นเปลี่ยนแปลงบ่อย ภายใน 1 นาทีคุณสามารถเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงินอันกว้างใหญ่ แต่นาทีต่อไปอาจมีเพียงแค่หมอกขาว ๆ เท่านั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจากตัวเมืองสู่ทะเล
            นักท่องเที่ยวมากมายหลงรักเมืองซานฟรานซิสโกเพราะมันไม่รู้สึกเหมือนเมืองที่ใหญ่มาก เนินเขาทำให้เมืองเกิดสัดส่วนที่แตกต่าง ซึ่งได้เรียกว่ายย่านหรือละแวก ทุก ๆ ย่านจะมีร้านกาแฟ ร้านอาหาร และซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ ในย่านของตัวเอง เนินเขา 43 ลูกมีชื่อเรียก และบางย่านจะใช้ชื่อย่านของตัวเองในการตั้งชื่อให้กับเนินเขา ยกตัวอย่างแช่น ในส่วนของตัวเมืองด้านทิศตะวันออกจะมีเนินเขาน๊อบฮิลล์ รัซเซียนฮิลล์ และเทเลกราฟฮิลล์
            ช่วงเวลาที่ผ่านมา หลาย ๆ ครอบครัวจากทั่วโลกย้ายเข้ามาในเมืองแห่งนี้ ทุกวันนี้บางย่านเต็มไปด้วยผู้คนและร้านค้าจากเพียงหนึ่งประเทศ ยกตัวอย่างเช่น มีชุมชนคนจีนต่างแดนกับร้านอาหารที่เลอเลิศ หรือชุมชนใหม่ เช่น ชุมชนคนญี่ปุ่นต่างแดนที่มีร้านอาหารและร้านหนังสือเป็นของตัวเอง
            ผู้คนทั้งชายหญิงเดินทางเข้ามาในเมืองแห่งนี้นั่นเพราะเป็นเมืองเปิด มีความเป็นอิสระทุกที่ ในย่านหนึ่ง อย่างย่านมิชชั่นผู้คนจำนวนมากชอบที่จะเจอและพูดคุยกันเกี่ยวกับความคิดใหม่ ๆ เมื่อคุณนั่งในร้านกาแฟร้านหนึ่งที่นั่น บางครั้งคุณจะได้ยินผู้คนพูดถึงสิ่งใหม่ ๆ ที่แตกต่างอย่างน่าสนใจ
            สุดท้ายนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่นี่ก็เพราะว่าพวกเขาต้องการเรียนรู้เมืองที่นี่ เมืองที่สร้างหนังหรือภาพยนตร์และหนังสือนับร้อย ยกตัวอย่างเช่น นักเขียนอย่างแจ็ค ลอนดอน ได้เกิดในเมืองซานฟรานซิสโกราวปี ค.ศ. 1879 เขาเติบโตมาจากครอบครัวคนงาน แต่เขากลับได้กลายเป็นนักเขียนผู้มีชื่อเสียงด้วยหนังสือที่น่าตื่นเต้นอย่าง The Call of the Wild and White Fang หรือ “เสียงเรียกจากพงไพร” ในบางเรื่องราวของเขาเหมือนกับมาร์ติน อีแดน คุณสามารถเรียนรู้ชีวิตของผู้คนสมัยก่อนได้ในเมืองซานฟรานซิสโก
            นักเขียนอย่างแดชีลล์ แฮมเม็ทท์ได้อาศัยอยู่ในเมืองนี้ราวปี ค.ศ. 1920 เขาได้เขียนนเรื่องอ่านเล่นประเภทลึกลับอย่าอัศจรรย์ และมักจะเต็มไปด้วยเรื่องราวของหมอกในเมืองซานฟรานซิสโก เป็นไปได้ว่าสุดยอดหนังสือของเขาคือ The Maltese Falcon หรือ “เหยี่ยวมอลต้า” มันได้กลายเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่สำคัญในปี ค.ศ. 1941 ด้วยนักแสดงอย่าง ฮัมฟรีย์ โบการ์ต
หนังสือเล่มต่อมาต่างจากหนังสือเรื่องราวในช่วงแรก ๆ ยกตัวอย่างเช่น The Joy Luck Club by Amy Tan หรือ “มาจากสองฝั่งฟ้า” เป็นหนังสือเกี่ยวกับ 4 ครอบครัวในย่านชุมชนคนจีนต่างแดน เป็นการเล่าถึงหญิงชราชาวจีนกับลูกสาวครึ่งจีน-อเมริกัน
            แน่นอนว่านักท่องเที่ยวมากมายต่างจดจำภาพยนตร์ได้ ใครจะลืมกันอย่างเรื่อง Vertigo หรือ “พิศวาสหลอน” ของอัลเฟร็ด ฮิตซ์ค็อก สร้างเป็นภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 1958 เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักสืบชาวซานฟรานซิสโกกำลังมองหญิงสาวคนหนึ่ง หล่อนได้กระโดดจากสะพานโกลเด้นเกตลงไปในน้ำทะเลอันหนาวเหน็บ นักสืบผู้นั้นรีบกระโดดลงไปช่วยหล่อนทันที
            หนังสือและภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องใช้หมอกของเมืองซานฟรานซิสโกในการแสดงหรือแต่งเรื่อง แต่หนึ่งในภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่องหนึ่งได้ใช้เนินเขาใหญ่ของเมืองในการแสดง นั่นคือภาพยนตร์ราวปี ค.ศ. 1968  เรื่อง Bullitt หรือ “ตำรวจโหดล้างโคตรคน” ด้วยนักแสดงอย่าง สตีฟ แม๊กควีน เรื่องมีอยู่ว่า ได้มีรถคันยาวมากได้วิ่งไล่ล่าด้วยความเร็วและตกลงจากเนินเขา มันคือหนึ่งในภาพยนตร์อันน่าตื่นเต้นของโลกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกบรถไล่ล่า
            เมื่อคุณพูดคำว่า “ซานฟรานซิสโก” บางสิ่งบางงอย่างที่น่าสนใจก็มักจะเกิดขึ้น ผู้คนเริ่มร้องเพลง พวกเขาร้องเพลงถึงบางสิ่งที่ว่า I Left My Heart in San Franciscoหรือ ฉันหลงไหลเมืองซานฟรานซิสโก นักร้องคนหนึ่งชื่อโทนี่ เบนเน็ต ได้ร้องเพลงนี้ครั้งแรกในโรงแรมที่โด่งดังอย่าง Fairmont ในเมืองซานฟรานซิสโก ราวปี ค.ศ. 1960
            นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับมืองซานฟรานซิสโกผ่านการชมภาพยนตร์ โทรทัศน์ และวิทยุ แต่จะมีใครรู้เรื่องราววันแรก ๆ ของเมืองนี้






2.วันเริ่มต้น

ผู้คนเริ่มที่จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าซานฟรานซิสโกราวพัน ๆ ปีที่ผ่านมา พวกเขาเป็นชาวอเมริกันพื้นเมืองและในส่วนหนึ่งของชาวอเมริกันพื้นเมืองนี้พวกเขาถูกเรียกว่า Ohlone พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านตามแนวชายฝั่งและพบว่าสิ่งต่าง ๆ มากมายที่สามารถกินได้ทั้งที่อาศัยในแม่น้ำหรือทะเล อาหารทะเลและสัตว์ป่าเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่สำคัญที่พวกเขากินปกติกัน
แต่การดำรงชีวิตของชาว Ohlone ได้เปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันในช่วงปลายของศตวรรษที่ 17 เมื่อนักเดินทางช่วงแรก ๆ จากยุโรปได้เข้ามาในพื้นที่ ทหารสเปนที่ชื่อว่ากัปตัน Juan Bautista de Anza ได้มาถึงชายฝั่งและเขาได้สร้างตึกอาคารที่โกลเดนเกตในปี ค.ศ. 1776 จากนั้นชาวสเปนได้เปิดภารกิจที่นั่นชื่อว่า the Mission San Francisco de Asís ในภายหลังเมืองซานฟรานซิสโกก็ได้ใช้ชื่อตามสถ​​านที่แห่งนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างตอนนี้มีความแตกต่างสำหรับชาว Ohlone ชาวสเปนต้องการแรงงานและพวกเขาใช้ชาว Ohlone หลายคนเพื่ออาศัยในสถานที่ภารกิจนี้ ชาวสเปนได้นำโรคมากับพวกเขามาและประมาณสามในสี่ของชาว Ohlone ก็ได้ล้มป่วยจากโรคเหล่านี้และเสียชีวิต
มีจำนวนอาคารตามภารกิจที่แตกต่างกัน แต่อาคารสุดท้ายถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1791 คุณสามารถเยี่ยมชมสถานที่ที่สวยงามได้ในวันนี้ มันได้ถูกเรียกตอนนี้ว่า Mission Dolores และมันเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในซานฟรานซิสโก
ในปี ค.ศ. 1821 พื้นที่นี้ได้หมดยุคชาวสเปนและได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเม็กซิโก ผู้คนสร้างบ้านเรือนห่างออกไปจากที่แห่งนี้และพวกเขาเริ่มที่จะมีเมืองเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Yerba Buena
ระหว่างในปี ค.ศ. 1846 และ 1848 ได้เกิดสงครามระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเม็กซิโก โดยเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1848 San Francisco ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกาและเมืองต่าง ๆ ก็ได้เปลี่ยนจากชื่อ Yerba Buena เป็น San Francisco
ก่อนช่วงเวลานี้ ได้มีผู้คนอาศัยอยู่ในเมืองหรือพื้นที่นี้ไม่มากนัก แต่สิ่งต่าง ๆ ก็ได้เปลี่ยนไปในวันหนึ่งของเดือนมกราคม ค.ศ. 1848 ที่เหมืองของ Sutter ห่างออกไปราว 190 กิโลเมตรไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของ San Francisco ได้มีแรงงานคนหนึ่งชื่อว่า James Marshall ได้พบสิ่งที่น่าสนใจในแม่น้ำ เขาได้ทำงานให้กับชายคนหนึ่งชื่อว่า John Sutter เขาได้นำมันส่งให้กับ Sutter อย่างรวดเร็วและบอกเขาเกี่ยวกับสิ่งนี้ เขาถาม “Marshall นายเจออะไร? ไม่นาน ชายสองคนที่รู้คำตอบก็ตอบว่า “มันคือทองคำ”
 John Sutter ไม่ต้องการที่จะบอกคนอื่นเกี่ยวกับทอง แต่ได้คนสำคัญคนหนึ่งได้ยินเรื่องทองนี้เข้า เขาคือ Samuel Brannan เป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์ California Star เขาได้เดินผ่านถนน San Francisco อย่างรวดเร็วด้วยทองบางส่วนในขวดและในมือของเขาพร้อมกับกล่าวว่า ทอง! ทอง! ทองในแม่น้ำอเมริกัน!’
แน่นอนว่าผู้คนในเมืองที่เหลือทั้งหมดก็ได้ไปหาทองในทันที San Francisco ก็ได้เงียบสงบและไม่มีใครบนท้องถนน แต่แล้วหนังสือพิมพ์ทั่วโลกต่างได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับ ภูเขาทองใน California และ California ก็ได้มีชื่อเสียงและถูกขนานนามว่า ยุคแห่งทองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
ในยุคทอง ผู้คนราวพันคนก็เดินทางเข้ามาใน California พวกเขาทุกคนต้องการสิ่งเดียวกันนั่นคือ การหาทองและต้องหามันได้อย่างรวดเร็ว ผู้คนประมาณ 4 หมื่นคนได้เข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่แล้วมักจะเดินด้วยเท้า นักเดินทางนับพันมาถึงโดยเรือจากยุโรป จีนและออสเตรเลีย พวกเขาได้ถูกเรียกว่า Forty-niners ก็เพราะว่าพวกเขาหลายคนเข้ามาใน California ปี ค.ศ. 1849
นักเดินทางจำนวนมากเหล่านี้พักอยู่ใน San Francisco หลังจากนั้นก็ได้การเดินทางไปตอนเหนือเพื่อไปยังพื้นที่ที่มีทอง จำนวนผู้คนในเมืองได้เพิ่มขึ้นทันทีจาก 1,000 คนในปี ค.ศ. 1848 ก็ได้กลายเป็น 25,000 คนในปี ค.ศ. 1850 โรงแรมใหม่นับร้อย ร้านอาหารและสถานที่บริการเครื่องดื่มก็ได้เปิดและเมืองนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่กว้างขวางสถานที่หนึ่ง
นักเดินทางบางคนในช่วงแรก ๆ พบทองได้ง่าย ๆ และสร้างเงินเป็นจำนวนมาก แต่หลายคนสูญเสียมันให้กับถนนของ San Francisco โรงแรมและร้านอาหารสร้างเงินได้มากกว่ายุค Forty-niners
ยุคทองของ California หมดในปี ค.ศ. 1855 บางคนก็กลับบ้าน แต่หลายคนยังอาศัยอยู่และเปิดธุรกิจ San Francisco ได้เปลี่ยนจากเมืองเล็ก ๆ กลายเป็นเมือง
ธุรกิจบางส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดใน San Francisco มาจากช่วงเวลานี้ ตัวอย่างเช่น ธนาคาร Wells Fargo และธุรกิจ Stagecoach ได้เปิดขึ้นในปี ค.ศ.1852 The Wells Fargo stagecoaches ได้นำข่าวสารและนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามายัง California ถนนไม่ดีเอามาก ๆ และเป็นอันตราย แต่ stagecoaches มักจะมาถึงทันเวลา
stagecoaches และรถไฟสายใหม่ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาได้เปิดขึ้นใน San Francisco ด้วยผู้คนคนจากทั่วประเทศ และเรือขนาดใหญ่จากทั่วโลกมักจะหยุดที่นี่ด้วย
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 คนรวยหลายคนได้เริ่มที่จะสร้างบ้านที่สวยงามในละแวกใกล้เคียงที่อย่างเช่น Nob Hill แต่เมืองต่อมาก็ได้หายไปในวันหนึ่งที่ไม่ดีมาก ๆ ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1906








3.จากปี ค.ศ.1906 ถึงฤดูร้อนแห่งความรัก

เวลา 5.12 ในตอนเช้าของวันพุธที่ 18 เมษายน ค.ศ.1906 ได้เกิดแผ่นดินไหวใน San Francisco ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในบ้านโดยกำลังนอนหลับอยู่ ทั่งเมืองไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กตื่นขึ้นเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงที่น่ากลัวเป็นเวลานาน แผ่นดินไม่หยุดเคลื่อนเป็นเวลา 42 วินาที มันเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงมากชนิดหนึ่งในบรรดาการเกิดแผ่นดินไหวที่เลวร้ายที่สุดในโลกในเวลานั้น
หลายครอบครัววิ่งออกมาจากบ้านของพวกเขาและเห็นเมืองที่ไม่เหมือนเดิม บ้านหลายหลัง ร้านค้าและโรงแรมได้พังทลายลง ไม่นานก็ได้เกิดเพลิงไหม้ในละแวกใกล้เคียงและลุกลามอย่างรวดเร็วจากสถานที่หนึ่งไปอีกสถานที่หนึ่ง
ผู้คนต้องการที่จะหยุดเพลิงไหม้แต่มีน้ำไม่มาก มีเพียงน้ำพุหนึ่งที่เรียกว่า Lottas Fountain เหล่าทหารและคนงานอื่น ๆ ได้ต่อแถวเป็นสายยาวและเอาน้ำจากน้ำพุนั้น น้ำได้ถูกส่งต่อจากคนคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง แต่มันเป็นการทำงานที่ช้า และได้ใช้เวลาในการดับไฟเป็นเวลา 4 วัน
ผู้คนกว่า 3 พันคนทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กได้เสียชีวิตในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและถูกไฟไหม้ที่ และผู้คนมากกว่าครึ่งสูญเสียบ้าน หลายคนเริ่มที่จะนอนในสถานที่เปิดอย่างโกลเด้นเกตพาร์ค
ประเทศทั่วโลกเรียนรู้ภัยพิบัติครั้งนี้อย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกที่ผู้อ่านหนังสือพิมพ์เห็นภาพของเมืองหลังเกิดแผ่นดินไหว หลายประเทศเช่นสหราชอาณาจักรและแคนาดา และนักธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ให้เงินแก่เมืองนี้
ไม่นาน นักก่อสร้างก็ได้เริ่มที่จะสร้างบ้านใหม่ ร้านอาหารและร้านค้า ภายในปีหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว San Francisco ก็ได้กลายเป็นเมืองที่อัศจรรย์ขึ้นอีกครั้ง เพื่อพร้อมจัดแสดงนิทรรศการขนาดใหญ่ในปี ค.ศ.1915 สิ่งนี้ได้รับการขนานนามว่าการแสดงนิทรรศการนานาชาติ Panama-Pacific ผู้คนหลายพันคนมาที่นี่จากทั่วทุกมุมของประเทศสหรัฐอเมริกา พวกเขาสามารถเห็นสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นและกินอาหารที่แตกต่างจากประเทศต่าง ๆ ทั่วแปซิฟิก
ในปี ค.ศ. 1920 และ 1930 San Francisco ได้กลายเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากขึ้น เรือหลายร้อยลำจากทั่วโลกเดินทางมาทุก ๆ สัปดาห์ ในสงครามโลกครั้งที่สองได้มีเรือขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นที่นั่นด้วย
หลังสงคราม นักเขียนและนักคิดที่มีความคิดใหม่ ๆ ที่น่าสนใจได้เข้ามาใน San Francisco โดยในปี ค.ศ.1950 พวกเขาได้ย้ายไปยังละแวกใกล้เคียงเช่น North Beach และ Haight Ashbury คนที่มีชื่อเสียงที่สุดของคือ Jack Kerouac เด็กนักเรียนหลายคนอ่านหนังสือของเขาในปี ค.ศ. 1957 เรื่อง On the Roadในหนังสือนั้นเกี่ยวกับการเดินทางของเขาทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาและไปยัง San Francisco เป็นเวลาหลายครั้ง
บางครั้งหนึ่งในปีที่น่าตื่นเต้นที่สุดอาจเป็นปี ค.ศ.1967 คนหนุ่มสาวกว่า 1 แสนคนได้เดินทางไปยัง San Francisco ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาแต่งตัว hippies ด้วยหมวกที่มีขนาดใหญ่ สวมเสื้อผ้ายาวและติดดอกไม้ที่ผมของพวกเขา hippies เหล่านี้อยู่ในย่าน Haight Ashbury และพวกเขากิน ร้องเพลงและพูดคุยเกี่ยวกับความคิดทั้งหมดในที่ที่เดียว ช่วงเวลานี้ได้ถูกเรียกว่า Summer of Loveและผู้คนทั่วโลกได้เห็นในทีวี
จากปี ค.ศ. 1960 และปี ค.ศ. 1970 เมืองนี้ก็ได้กลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงสำหรับคนที่มีความคิดกว้างไกล San Francisco เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับผู้คนจากหลาย ๆ ประเทศที่แตกต่างกันและด้วยการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน นักท่องเที่ยวหลายคนรักสถานที่นี้ พวกเขาจึงอยู่ที่นี่และเปิดร้านค้าหรือร้านกาแฟในละแวกใกล้เคียงที่น่าตื่นเต้นสำหรับคนหนุ่มสาว
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตใน San Francisco เมืองที่มีความสำคัญในโลกในเรื่องของธนาคารและธุรกิจ ในปี ค.ศ. 1990 นักธุรกิจจำนวนมากได้เปิดเครือข่ายธุรกิจอย่างรวดเร็วด้วยเงินจากธนาคาร ในเดือนมีนาคมของปี ค.ศ. 2000 หลายธุรกิจได้ถูกปิดลงอีกครั้งหลังจากที่ธนาคารต้องการเงินของพวกเขากลับ แต่วันนี้เมืองนี้ก็ได้มีชื่อเสียงในด้านธนาคารและธุรกิจใหม่อีกครั้ง






4.หมอกควันและรอยเลื่อน


            อากาศใน San Francisco มักจะมีความแตกต่างจากเมืองอื่น ๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกาเพราะอยู่ใกล้น้ำ ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและอ่าว San Francisco น้ำทะเลมีความสำคัญมากต่ออุณหภูมิในเมืองสภาพอากาศที่นี่จะไม่ร้อนมากหรือเย็นมาก อุณหภูมิในช่วงฤดู​​หนาวจะไม่เปลี่ยนแปลงมากเมื่อเทียบกับอุณหภูมิในช่วงฤดู​​ร้อน ยกตัวอย่างเช่น  ในวันปกติของเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส และในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 19 องศาเซลเซียส
ผู้คนใน San Francisco ขบขันฤดูร้อนที่มีชื่อเสียงของพวกเขา สภาพอากาศมักจะเลวร้ายในช่วงฤดู​​ร้อนของเดือนมิถุนายน กรกฎาคมและสิงหาคม ในช่วงเวลานี้ของทุกปีมีหมอกจำนวนมากจากมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านโกลเด้นเกตและเข้าไปยังในเมือง และบางครั้งคุณจำเป็นต้องสวมใส่เสื้อโค้ต ในช่วงฤดู​​ร้อน สภาพอากาศที่ดีที่สุดมักจะอยู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคมหรือช่วงฤดูใบไม้ร่วงในเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม ช่วงนั้นอากาศจะดี อบอุ่นและมีฝนตกไม่มาก
สภาพอากาศแต่ละพื้นที่ที่ใกล้เคียงสามารถแตกต่างกัน คุณสามารถนั่งอยู่ในสภาพอากาศที่มีแดดร้อนในพื้นที่หนึ่ง แล้วเดินไป 5 นาทีไปยังอีกสถานที่หนึ่ง ทันใดนั้นก็มีหมอกหรือฝน
มหาสมุทรแปซิฟิกเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในแต่ละวันของ San Francisco แต่มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญต่อชีวติของเมืองนี้คือรอยเลื่อน San Andreas นี่คือเส้นใหญ่ระหว่างสองเส้นของโลก และเมื่อส่วนหนึ่งเกิดการสั่น ส่วนอื่น ๆ ก็สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ได้
            รอยเลื่อน San Andreas ไม่ได้ผ่าน San Francisco แต่มันเดินทางผ่านเมืองไปทางทิศใต้ แผ่นดินไหวที่น่ากลัวเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1906 เกิดจากรอยเลื่อน San Andreas ได้มีการเคลื่อนที่ ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่มากในปี ค.ศ. 1989 มันถูกเรียกว่าแผ่นดินไหว Loma Prieta กว่า 3 พันคนสูญเสียบ้านและมีผู้เสียชีวิตประมาณ 60 คน
            ทุกวันนี้มีการเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่ San Francisco บ่อยขึ้น แต่เป็นการสั่นที่น้อยมากและผู้คนก็ไม่รู้สึกถึงการสั่น บ้านหลังใหม่หรือสำนักงานในเมืองถูกสร้างขึ้นอย่างรอบคอบ เมื่อเกิดการสั่น อาคารเหล่านี้ก็สั่นไปด้วย ตัวอย่างเช่น Transamerica Pyramid อาคารที่สูงที่สุดใน San Francisco ได้เคลื่อนเป็นระยะทาง 30 เซนติเมตรจากทั้ง 2 ข้างจากแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 1989 แต่มันก็ยังคงอยู่ได้







5.การเดินทาง


            การเดินทางท่องเที่ยวใน San Francisco มักจะเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าสถานที่อื่น ๆ เพราะที่นี่มีเนินเขามากมายทั่วเมือง บางที่มีเนินเขาที่สูงชันมาก บางทีถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดบนเนินเขาสูงชันใน San Francisco อาจจะเป็นถนน Lombard ถนน Lombard เป็นถนนที่ยาวเส้นหนึ่งที่สูงชันมากใน Russian Hills ในปี ค.ศ. 1922 ผู้คนได้เปลี่ยนสายของถนน Lombard และได้สร้างถนนลงจากเนินเขาจากทางด้านข้างของเนินเขา สิ่งนี้จะง่ายสำหรับคนขับรถ แต่พวกเขาจำเป็นที่จะต้องขับรถจากด้านหนึ่งไปอีกแปดรอบ ไม่มีถนนสายอื่นในโลกที่เหมือนถนนสายนี้ ผู้คนต่างพูดกัน
San Francisco ยังมีความแตกต่างจากเมืองอื่น ๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะไม่ได้มีถนนที่ใหญ่มากอยู่ใกล้กับศูนย์กลาง ในเมืองอย่าง Los Angeles หรือ Miami คนมักจะขับรถจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง แต่ใน San Francisco ผู้คนจำนวนมากโดยสารรถบัสหรือเดินเท้า
การเดินเล่นในเมืองเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีทิวทัศน์ที่อัศจรรย์ทั่วทั้งเนินเขาและคุณก็สามารถเดินผ่านหลาย ๆ อาคารที่มีความสวยงาม ยกตัวอย่างเช่นในย่าน Haight Ashbury มีบ้านเก่าแก่ที่สวยงามรอบ ๆ Alamo Square บ้านเหล่านั้นมีสีสันที่แตกต่างกันเช่น สีเขียว สีฟ้า สีส้มหรือสีเหลือง
บางคนท่องเที่ยวจากเมืองไปยังริมทะเล ทุกวันจะมีคนงานหลายคนจากเมืองไปยังทะเล เช่น Oakland หรือ Sausalito เมื่อพวกเขามาถึงพวกเขาเดินทางไปรอบ ๆ ด้วย MuniMuni เป็นรถบัสและรถรางใน San Francisco และเป็นรถสายเคเบิลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง
ทุกคนรู้จักรถสายเคเบิล คุณไม่สามารถเจอภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องเกี่ยวกับ San Francisco โดยปราศจากสิ่งนี้ พวกมันได้เริ่มต้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1873 ด้วยคนที่ชื่อว่า Andrew Hallidie ได้มีความคิดสำหรับพวกมันเมื่อครั้งที่เขาเห็นอุบัติเหตุบนถนน นั่นเป็นคำตอบที่ดีมากสำหรับเนินเขาที่สูงชัน อันตรายและไม่นานมานี้มีรถสายเคเบิลข้ามเมือง
แต่ San Francisco ได้สูญเสียรถสายเคเบิลหลายสายในเหตุการณ์แผ่นดินไหวปี ค.ศ. 1906 หลังจากนั้นก็ได้มีรถโดยสารมากขึ้นและจากช่วงศตวรรษที่ 1930 ผู้คนจำนวนมากใช้รถโดยสารเหล่านี้เดินทางไปทั่วเมือง ในปี ค.ศ. 1947 ผู้คนบางส่วนที่สำคัญที่สุดในเมืองต้องการที่จะปิดรถสายเคเบิล แน่นอนว่าผู้คนใน San Francisco ได้โกรธเป็นอย่างมากเพราะพวกเขาไม่ต้องการที่จะสูญเสียมัน
            ในท้ายที่สุดพวกเขารักษารถสายเคเบิลไว้ได้และทุกวันนี้รถ 40 คันได้วิ่งไปรอบ ๆ เมืองบน 3 สายที่แตกต่างกัน รถทุกคันมีคนขับและคนนำซึ่งเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงคอยเก็บเงินและช่วยเหลือผู้คนยามพวกเขาเดินทางด้วย นี่เป็นสิ่งสำคัญเพราะนักท่องเที่ยวบางคนยืนออกไปทางข้าง ๆ รถสายเคเบิลและอาจเป็นอันตรายได้
1 ในคนนำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ Maya Angelou เธอเป็นลูกครึ่งแอฟริกันอเมริกันคนแรกที่เป็นคนนำรางในเมืองเมื่อครั้งที่เธออายุเพียง 14 ปี หลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นหนึ่งในนักเขียนที่สำคัญที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา หนังสือของเธอชื่อว่า I Know Why the Caged Bird Sings เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแอฟริกันอเมริกันในช่วงศตวรรษที่ 1930





 6.สะพานและ Alcatraz


เมื่อผู้คนพูดคุยเกี่ยวกับ San Francisco พวกเขามักจะคิดถึงสะพานสีส้มแดงยาวไปถึงเมือง มันคือสะพานที่มีชื่อเสียงของโลกชื่อว่าสะพาน Golden Gate มีภาพสะพานหลายภาพที่สวยงามและทุกภาพมักจะมีดวงอาทิตย์อยู่เบื้องหลังสะพานหรือมีหมอกครึ่งหนึ่งอยู่เหนือสะพาน
            ชายคนหนึ่งชื่อว่า Charles Crocker ได้คิดเรื่องสะพานนี้เป็นคนแรกในปี ค.ศ. 1872 แต่ผู้คนไม่ชอบความคิดนี้ สำหรับสะพานแล้ว Golden Gate เป็นสะพานที่น่ากลัว ที่พวกเขากล่าวอย่างนั้นก็เพราะว่าเนื่องจากสภาพอากาศไม่ดีอยู่เสมอและทะเลก็อันตรายมาก
ต่อมาในปี ค.ศ. 1921 นักก่อสร้างสะพานชื่อว่า Joseph Strauss มีความคิดที่ดีเกี่ยวกับสะพานข้ามอย่าง Golden Gate และเขาได้พูดคุยกับคนที่สำคัญหลายคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในท้ายที่สุดพวกเขาเหล่านั้นรับฟังเขาและเริ่มสร้างสะพานในเดือนมกราคมปี ค.ศ. 1933 โดยมีค่าใช้จ่ายมากกว่า 35 ล้านดอลลาร์และแรงงานหลายร้อยคนได้สร้างมันขึ้นมานานกว่า 4 ปี
เมื่อมันได้ถูกเปิดในเดือนเมษายนปี ค.ศ.1937 มันได้เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในโลกในบรรดาสะพานชนิดนี้ สะพานยาว 2.7 กิโลเมตรและคุณสามารถเดิน ขับรถหรือข้ามสะพานด้วยจักรยาน วันแรกเป็นวันที่น่าตื่นเต้นมาก ผู้คนมากกว่า 200,000 คนทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กที่มาจากทั่วทุกมุมเมืองและเดินข้ามสะพานใหม่นี้
50 ปีต่อมาในเดือนเมษายนปี ค.ศ. 1987 ผู้คนหลายพันคนได้ข้ามสะพานอีกครั้ง เวลานี้มีนักเดินกว่า 300,000 คน ผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงบางส่วนจำความสุขที่เคยเดินข้าสะพานในปี ค.ศ.1937
แน่นอนว่าสะพานขนาดใหญ่นี้มักจะต้องมีการทำงานค่อนข้างมากเพราะหมอกและน้ำทะเลเคลื่อนที่รอบ ๆ สะพานตลอดเวลา ทุก ๆ วันคุณสามารถพบคนงาน 38 คนอยู่บนสะพาน พวกเขาทำอะไร? พวกเขาสร้างสะพานสีส้มแดงที่มีชื่อเสียงและงานของพวกเขาไม่เคยหยุด
คุณสามารถเจอหรือเห็นสะพาน Golden Gate ในหนังหรือภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องด้วยกัน ในภาพยนตร์ของ James Bond เรื่อง A View to a Kill ผู้ชายคนหนึ่งที่อันตรายชื่อว่า Zorin ไล่ล่า Bond และพวกเขามีการต่อสู้ที่ยาวนานบนสะพาน พวกเขาเคลื่อนที่จากทางด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของสะพาน แต่สุดท้าย Bond ได้เตะ Zorin ด้วยเท้าของเขาและเขาก็กระโดดสะพาน Golden Gate ลงไปในน้ำที่เย็น
เมื่อคุณยืนอยู่บนสะพานและมองไปยังทิศตะวันออกข้ามอ่าว San Francisco คุณสามารถมองเห็นเกาะ มันมีขนาดเล็กมากแต่ทุกคนรู้ชื่อของมัน ชื่อของเกาะคือ Alcatraz ทุกปีผู้คนกว่า 1.4 ล้านคนได้เยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และทำไมพวกเขาทั้งหมดถึงมาที่นี่? พวกเขาต้องการที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องราวของเกาะคุกที่น่ากลัวนี้
เกาะ Alcatraz ได้กลายเป็นเกาะคุกแรกที่สำคัญในปี ค.ศ. 1907 ในตอนนั้นมันเป็นเพียงคุกทหาร จากนั้นในช่วงศตวรรษที่ 1930 รัฐบาลสหรัฐจำเป็นต้องใช้สถานที่สำหรับกักขังบุคคลที่อันตรายที่สุดในประเทศทั้งที่เป็นคนจากเมืองกว้างเช่นชิคาโกหรือนิวยอร์ก ไม่ช้าพวกเขาก็คิดถึงเกาะ Alcatraz น้ำเย็นอยู่รอบ ๆ เกาะและอันตรายเกินกว่าที่จะว่าย ไม่มีใครสามารถหลบหนีออกมาจากที่นั่นได้ รัฐบาลคิด
            เกาะได้กลายเป็นคุกของรัฐบาลสหรัฐระหว่างปี ค.ศ. 1934 และ 1963 และมากกว่า 1 ปี มีคนราว 1545 คนอาศัยอยู่ที่นั่น Alcatraz ได้กลายเป็นบ้านของนักโทษที่มีชื่อเสียง เช่น Al Capone จากชิคาโกและ GeorgeMachine GunKelly จาก Tennessee
ชีวิตของนักโทษบนเกาะ Alcatraz ไม่ใช่เรื่องง่าย เกาะนี้มีเพียง 2.4 กิโลเมตรห่างจาก San Francisco จากห้องมืดเล็ก ๆ ของพวกเขา พวกเขามักจะได้ยินเสียงของชีวิตในเมืองข้ามสายน้ำมา พวกเขาอยู่ในคุกและพวกเขาไม่เคยจะลืมมัน
มีเรื่องราวเกี่ยวกับการหลบหนีประมาณ 36 คนที่แตกต่างกัน บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ Frank Morris และ 2พี่น้องตระกูล Anglin, John และ Clarence โดยเวลา 9.30 ในช่วงเย็นของวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1963 3 นักโทษได้หนีเข้าไปในหนึ่งในช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ของอาคาร อาศัยช้อนและสิ่งอื่น ๆ ในคุก พวกเขาพยายามเดินผ่านช่องระบายอากาศอย่างระมัดระวังและออกไปสู่คืนมืด
            พวกเขาได้เอาเสื้อโค้ตเก่า ๆ ไปกับพวกเขาและทำแพที่สามารถเป็นเรือเล็ก ๆ หลังจาก 10 นาฬิกาต่อมา พวกเขาก็เริ่มที่จะข้ามน้ำที่อันตรายของอ่าว San Francisco อย่างรวดเร็ว
แล้วพวกเขาหนีได้หรือไม่? คนบางคนคิดว่าได้ แต่สำหรับคุกนี้บอกเลยว่าไม่ได้ นักโทษ 3 คนได้เสียชีวิตในน้ำที่เย็นยะเยือก พวกเขากล่าว แต่ไม่มีใครพบศพของเขา พบแต่แพของพวกเขาเท่านั้น และไม่มีใครได้ยินเกี่ยวกับพวกเขาอีกเลย
คุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของพวกเขาในภาพยนตร์ที่น่าตื่นเต้นในปี ค.ศ. 1979 เรื่อง Escape from Alcatraz ด้วยนักประพันธ์อย่าง Clint Eastwood ดูมันแล้วบางทีคุณจะสามารถตอบคำถามได้ว่า พวกเขาสามารถหลบหนีหรือไม่?
คุกได้ถูกปิดในปี ค.ศ. 1963 ต่อมาในปี ค.ศ. 1969 ชาวอเมริกันพื้นเมืองนับร้อยเดินทางมา Alcatraz และพักอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 9 เดือน พวกเขาโกรธรัฐบาลเกี่ยวกับชีวิตที่น่ากลัวของคนของพวกเขา ในท้ายที่สุดรัฐบาลได้เปลี่ยนแปลงความคิดบางส่วนของพวกเขาเกี่ยวกับชาวอเมริกันพื้นเมือง และพวกเขาให้ผู้คนกลับหมู่บ้านเก่าและพื้นที่ของพวกเขา
Alcatraz ตอนนี้เป็นสวนสาธารณะของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและคุณสามารถเยี่ยมชมเกาะได้ตลอดทั้งปี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาในกลางวันแต่คุณสามารถไปในเวลากลางคืนได้อีกด้วย เดินไปรอบ ๆ คุกมืดดูห้องและฟังเสียง บางทีคุณอาจจะได้ยินเสียงจากนักโทษที่อยู่ที่นั่นนานมาแล้ว





7. สวนสาธารณะโกลเด้นเกต


            สถานที่ที่คนใน San Francisco ไปเมื่อพวกเขาต้องการที่จะหลบหนีชีวิตเมืองคือที่ไหน? พวกเขาเดินหรือขึ้นรถบัสไปที่โกลเดนเกพาร์ค คุณสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ที่นี่ น้ำพุขนาดใหญ่ ต้นไม้สูงและแน่นอนสวนที่สวยงามด้วยดอกไม้ทุกสีสัน
มันคือสวนสาธารณะของเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา ยาว 5 กิโลเมตรยาวและกว้าง 1 กิโลเมตร และมันก็เป็นสถานที่ที่ดีมากสำหรับนักวิ่งและนักเดินเท้า เพราะคุณสามารถท่องไปได้มากกว่ากว่า 43 กิโลเมตรรอบสวนสวนสาธารณะ
สวนสาธารณะได้เริ่มขึ้นในต้นปี ค.ศ. 1870 เมื่อชายคนหนึ่งผู้มีชื่อเสียงชื่อว่า William Hammond Hall และคนสวนชาวสก็อตชื่อว่า John McLaren เริ่มทำงานในพื้นที่ พวกเขาเปลี่ยนสถานที่นี้ให้เป็นสวนสีเขียว McLaren ได้ปลูกต้นไม้กว่า 155,000 ต้นและสวนสาธารณะแห่งนี้ก็ได้มีชื่อเสียงในทุกวันนี้
สวนสาธารณะแห่งนี้มีส่วนต่าง ๆ มากมาย ตัวอย่างเช่นมีสวนญี่ปุ่นที่สวยงาม มันถูกสร้างขึ้นโดยคนที่ชื่อว่า Makoto Hagiwara ในปี ค.ศ. 1894 และเป็นสวนญี่ปุ่นที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้คนมักจะมาที่นี่และถ่ายภาพสะพานญี่ปุ่นที่สวยงาม
สวนสาธารณะแห่งนี้มีอาคารก่อสร้างที่สวยงามด้วยเช่นกัน วิทยาลัยดอกไม้ได้ถูกสร้างขึ้นจากไม้และแก้วในปี ค.ศ. 1878 และมีดอกไม้และพันธุ์ไม้กว่า 20,000 ชนิด ๆ คุณสามารถพบส้มและกล้วยชิดต่าง ๆ ได้ที่นี่เช่นกัน
            เมื่อผู้คนเดินผ่านสวนสาธารณะบางครั้งพวกเขาจะเห็นสัตว์ป่าตัวใหญ่และขนยาว แต่พวกมันไม่จำเป็นต้องรู้สึกกลัว สัตว์เหล่านี้คือควายที่มีชื่อเสียง (กระทิงอเมริกัน) และพวกมันเริ่มอาศัยอยู่ที่นี่ในปี ค.ศ. 1894 พวกมันอยู่อย่างสงบในพื้นที่ของพวกมันในสวนสาธารณะและไม่หนีไปไหน
ผู้คนที่อาศัยอยู่ใน San Francisco รักการออกไปข้างนอกกับเพื่อน ๆ ของพวกเขา และเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ทุกคนชอบที่จะเล่นในสวนสาธารณะ มีสถานที่ที่แตกต่างกันสำหรับนักเทนนิส ฟุตบอลหรือเบสบอล คุณสามารถเห็นหลาย ๆ ครอบครัวและบรรดาเด็กขี่จักรยานด้วย
สวนสาธารณะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับนักสเก็ต นักเรียนวัยรุ่นชอบที่จะสเก็ตด้วยความรวดเร็วที่นี่และบางครั้งก็กระโดดเหยงเหนือทุกสิ่ง ผู้คนที่เข้ามามักจะนั่งชม มันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก






8.ออกไปข้างนอก



            การออกไปข้างในใน San Francisco เป็นสิ่งที่น่าสนใจ คุณสามารถดูทีมเบสบอล San Francisco Giants เห็นขบวนแห่ที่น่าตื่นเต้นบนท้องถนน หรือเยี่ยมชมหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมในเมือง
หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือพิพิธภัณฑ์รถยนต์สายเคเบิ้ล มันมีอยู่ในอาคารเก่าแก่ที่มีขนาดใหญ่ในย่าน Nob Hills หนึ่งในรถสายเคเบิลวันนี้ได้มีขึ้นในพิพิธภัณฑ์และผู้เข้าชมสามารถชมการทำงานของสายเคเบิลที่มีขนาดใหญ่ได้ที่นี่ และมีรถสายเคเบิลที่เก่าแก่จำนวนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1870 อีกด้วย
            โรงเรียนมักจะพาเด็ก ๆ ไปพิพิธภัณฑ์ Wells Fargo ใกล้กับย่านไชน่าทาวน์ ที่นี่นักเรียนสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับรถม้า Wells Fargo ตั้งแต่วันแรก ๆ ของยุคตื่นทอง
กระโดดลงไปในรถม้าที่เก่าแก่ในพิพิธภัณฑ์และคุณอยู่บนถนนป่ารกในยุคปี ค.ศ. 1850 มองเข้าไปยัง 1 ในกล่อง Wells Fargo สีเขียวที่มีชื่อเสียงและสิ่งที่คุณเห็นคืออะไร มีถุงทองใหญ่หลาย ๆ ใบ เงินเก่า ๆ และจดหมายจากยุคตื่นทอง รถม้าทุก ๆ คันจะพากล่องเหล่านี้และคนขับรถที่นั่งอยู่บนรถม้าไปด้านหน้า
พิพิธภัณฑ์ใหม่มีชื่อว่า California Academy of Sciences ในสวนสาธารณะ Golden Gate หลังคาของอาคารมีสีสันสวยงามเพราะมีดอกไม้ป่าปลกคลุม เมื่อผู้เข้าชมเดินผ่านส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์บางครั้งพวกเขากล่าวว่า “สิ่งนี้เหมือนอเมริกาใต้” เป็นเพราะมีต้นไม้หลายร้อยต้นของสัตว์หลายร้อยชนิดจาก Amazon และพวกมันยังมีชีวิตอยู่
            San Francisco ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของการเดินขบวนพาเหรดที่ยิ่งใหญ่บนถนน ทุก ๆ ปีในเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์มีขบวนแห่ตรุษจีน ได้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1858 และเป็นหนึ่งในขบวนพาเหรดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนที่ดีที่สุดคือเมื่อมังกรทองขนาดใหญ่ยาว 72 เมตรลงมาบนถนน ผู้คนนับร้อยเดินตามมังกรและเคลื่อนจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของถนนในย่านไชน่าทาวน์
ในวันเสาร์ก่อนวันที่ 17 มีนาคมมีขบวนพาเหรด St Patricks Day การเดินขบวนพาเหรดเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1852 และมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ดีที่สุดจากประเทศไอร์แลนด์ หลายพันคนไป Market Street ในใจกลางของตัวเมือง ส่วนที่สำคัญอย่างหนึ่งของ St Patricks Day คือสีสันบนเสื้อของผู้คน ทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าสีเขียว
            ในเวลาว่างของพวกเขา ผู้คนจำนวนมากไปดูทีมฟุตบอลอเมริกัน San Francisco 49ers  ทีมฟุตบอลได้ใช้ชื่อจากทั้งชายและหญิงในยุคตื่นทอง พวกเขาใช้สีอะไรในการเล่น ซึ่งก็คือสีแดงและสีทองแน่นอนว่าพวกเขาเป็นทีมแรกที่สำคัญใน US Super Bowl ครั้งที่ห้าในปี 1980 และต้นปี 1990
ทีม Giants เป็นหนึ่งในทีมเบสบอลที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา พวกเขาเติบโตในนิวยอร์กและย้ายไป San Francisco ในปี ค.ศ. 1957 ในปี 2010 พวกเขามีปีที่ดีมากเมื่อพวกเขาได้รับรางวัล World Series
ทีมนี้ได้มีความสำคัญอย่างมากในการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ในปี ค.ศ.1989 อีกด้วย เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม นาทีก่อนที่ทีมจะเริ่มเล่น ภาพโทรทัศน์ก็เคลื่อนและหยุดเล่น ได้เกิดแผ่นดินไหว Loma Prieta และมันก็เป็นแผ่นดินไหวครั้งแรกในทีวี






 9.การช้อปปิ้งและการรับประทานอาหาร

San Francisco เป็นเหมือนบ้านของร้านค้าขนาดใหญ่ เช่น Bloomingdales และ Macys มี Neiman Marcus ด้วย คุณสามารถซื้อเสื้อผ้าราคาแพงได้ที่นี่และสิ่งที่ดีสำหรับบ้านของคุณ เมื่อเข้ามาและมองไปยังหลังคาที่สวยงามในอาคารนี้ มันมาจากร้าน San Francisco ที่เก่าแก่ที่ชื่อว่า City of Paris   City of Paris นี้ได้เปิดขึ้นในปี ค.ศ. 1850 ในช่วงเวลาของยุคตื่นทองที่ คุณสามารถซื้อสิ่งที่อัศจรรย์จากฝ​​รั่งเศสได้ที่นี่และผู้คนก็เสียใจเมื่อมันถูกปิดลงในปี ค.ศ. 1972
            ผู้ชายและผู้หญิงใน San Francisco เป็นคนรักการอ่าน พวกเขาซื้อหนังสือมากกว่าผู้คนในเมืองอื่นของสหรัฐอเมริกา ร้านหนังสือที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ City Lights ในย่าน North Beach นักเขียนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อว่า Lawrence Ferlinghetti ได้เปิดร้าน City Lights ในปี ค.ศ. 1953 ไม่ช้ามันก็กลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับคนที่มีความคิดใหม่ ๆ ผู้คนมาจากทั่วประเทศที่เพื่อจะอ่านหนังสือที่น่าตื่นเต้นที่นี่โดยนักเขียนอย่าง Jack Kerouac
City Lights เป็นอาคารที่น่าสนใจอีกด้วย มันได้ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวปี ค.ศ. 1906 และเป็นตัวอย่างที่ดีของร้านค้าเก่าแก่ใน San Francisco คุณสามารถเดินผ่านและมองผ่านหน้าต่างอันเก่าแก่ที่มีขนาดใหญ่ที่มุมหนังสือล่าสุด
หลังจากเสร็จสิ้นการช้อปปิ้ง คุณสามารถไปที่ร้านอาหารร้านหนึ่งจากหลาย ๆ ร้าน เมื่อผู้คนได้ย้ายไป San Francisco จากประเทศจีน ญี่ปุ่น อเมริกาใต้หรือยุโรป พวกเขาได้นำความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับอาหารมากับพวกเขาด้วย เพื่อให้คุณสามารถหาร้านอาหารที่ดีได้ที่นี่จากทั่วทุกมุมโลก
            บางทีสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับอาหารอาจจะเป็นร้านขนมปัง Boudin และร้านอาหาร หนึ่งในร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ Fishermans Wharf ติดกับน้ำทะเลบนอ่าว San Francisco ผู้คนสามารถมองข้ามไปยังเกาะ Alcatraz และสะพาน Golden Gate ที่นี่คุณสามารถกินขนมปังที่มีชื่อเสียงของเมืองอย่างขนปัง Sourdough เป็นขนมปังที่เก่าแก่มากและผู้คนก็รักที่จะกินขนมปังชนิดนี้
ช่วงเวลาแห่งยุคตื่นทอง ขนมปัง Sourdough เป็นอาหารที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คน พวกเขาเอามันมากับพวกเขาเมื่อพวกเขามองหาทองในภูเขา ครอบครัว Boudin ได้ทำขนมปังชนิดนี้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1849 และคุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของขนมปังในพิพิธภัณฑ์ Boudin
ผู้คนคนมักจะถามหาสิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมนู Boudin ในขนมปัง sourdough จะมีซุปหอย ที่ทำจากอาหารทะเล คุณกินซุปหอยตอนที่ยังอุ่นด้วยช้อนและเมื่อคุณกินซุปหอยเสร็จก็ต่อด้วยขนมปัง Sourdough ที่อร่อย เมื่อคุณรู้สึกหิวมาก มันจะเป็นอาหารค่ำที่ดีที่สุดในโลก





10.ความแตกต่างเล็กน้อย


San Francisco มีเรื่องราวที่ยาวนานและน่าสนใจ จากวันแรกของยุคทองจนถึงวันนี้ บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเมืองนี้ไม่ได้เปลี่ยนไป หมอกสีขาว บ้านเก่าแก่ที่สวยงามและสะพานโกลเด้นเกตที่น่าอัศจรรย์ แต่สิ่งอื่น ๆ ได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลาและแน่นอนว่า เมืองนี้ชอบแนวความคิดใหม่ ๆ
ยกตัวอย่างเช่น เมืองที่มีการรีไซเคิลขวดเก่า กล่องและหนังสือพิมพ์จำนวนมาก เมื่อคุณเดินไปรอบ ๆ เมืองและคุณดื่มเครื่องดื่มจนหมด คุณสามารถเจอสถานที่สำหรับขวดเก่าของคุณได้ง่าย ๆ เมืองนี้สามารถรีไซเคิลได้ร้อยละ 72 ของสิ่งของ อย่างเช่นกระดาษ อาหารเหลือและขวด และมันเป็นเมืองที่ดีที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกาตอนนี้
            เมืองนี้ยังต้องการคนที่จะใช้รถพลังงานสีเขียว รถยนต์เหล่านี้ใช้ไฟฟ้าใช้งานและมันไม่ได้สกปรกเหมือนรถคันอื่น ๆ ขณะนี้มีสถานที่จำนวนมากในใจกลางเมือง San Francisco สำหรับผู้คนกับรถยนต์ประเภทนี้ มันสามารถบรรจุพลังงานไฟฟ้าเพิ่มได้ที่นั่น และพวกเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของปี ค.ศ. 2011 ถึงเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2013 โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ด้วยความคิดใหม่และสิ่งเก่าแก่ที่ยอดเยี่ยมอย่างเช่น รถสายเคเบิลมีชื่อเสียงระดับโลกหรือขนมปัง Sourdough เราสามารถมองไปยังเมืองและพูดว่า San Francisco ชอบที่จะทำสิ่งที่แตกต่าง และมันก็เป็นความจริง คุณไม่สามารถหาสถานที่เหล่านี้ได้อย่าง San Francisco ในประเทศอื่น ๆ ในโลก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

.

.