Learning Log in classroom:
สัปดาห์ที่ 11
Time Clause
Time
clause หรือ Adverb clause of time เป็น clause ที่ทำหน้าที่ขยายกริยา
เพื่อบอกให้ทราบว่าการกระทำหรือเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อใด
การละ Time clause ที่ตามหลัง adverb of time เช่น after, before, since,…
1.กรณีที่เป็น Passive voice
-เมี่อมีประธานที่เป็นนามทั่วไป
และสรรพนามที่ทำหน้าที่เหมือนกันในประโยค หรือเป็นตัวเดียวกัน
ให้สลับที่ระหว่างนามทั่วไปที่เป็นประธานและสรรพนาม แล้วจึงทำการละสรรพนามออก
และเปลี่ยน V.to be เป็น being แล้วตามด้วย
V.3 เช่น
After
the book was published, it was popular.
= After it was published, the
book was popular.
= After being published, the book
was popular.
-เมื่อประธานเป็นสรรพนาม
และมีสรรพนามอีกตัวหนึ่งทำหน้าที่เหมือนกับประธานสรรพนามข้างต้น
หรือเป็นตัวเดียวกัน ให้ทำการละสรรพนามหลัง adverb of time ออก และเปลี่ยน V.to be เป็น being แล้วตามด้วย V.3 เช่น
Before
she is punished, she cried.
= Before being punished, she
cried.
2.กรณีที่เป็น Active voice
-เมื่อมีประธานเป็นนามทั่วไป
และมีสรรพนามที่ทำหน้าที่เหมือนกันในประโยค หรือเป็นตัวเดียวกัน
ให้สลับที่ระหว่างประธานและสรรนาม แล้วจึงทำการละสรรพนามออก และเปลี่ยน V.
ที่ตามหลัง adverb of time เป็น V.1+ing
เช่น
After
the teachers visited in London, they developed their research.
= After they visited in London, the
teachers developed their research.
= After visiting in London, the
teachers developed their research.
-เมื่อมีประธานเป็นสรรพนาม และมีรรพนามอีกตัวที่ทำหน้าที่เหมือนประธานสรรพนามข้างต้นหรือเป็นตัวเดียวกัน
ให้ทำการละสรรพนามหลัง adverb of time และเปลี่ยน
V. ที่ตามหลัง adverb of time เป็น V.1+ing
เช่น
He goes home after he
finished his assignments.
= He goes home after finishing his assignments.
3.กรณีที่มีกริยาช่วยเป็น V.to
have
-เมื่อมีประธาน และสรรพนามที่ทำหน้าที่เหือนกันในประโยค
ให้สลับที่ระหว่างประธานและสรรพนามม แล้วจึงทำการละประธานหลัง adverb of
time ออก และไม่ว่า V.to
have จะเป็น has หรือ had ก็ให้เปลี่ยนเป็น
have แล้วเติม –ing
เช่น
After I
had finished my work, I went to the bed.
= After having finished my work, I went to the bed.
แต่หากจะให้สั้นและกระชับยิ่งขึ้น
ก็ให้ตัด having ออก แล้วเปลี่ยน V.
ให้เป็น V.1
แล้วเติม –ing
จะได้ว่า
= After
finishing my work, I went to the bed.
4.กรณีต่อไปนี้จะละไม่ได้
-เมื่อประธานใน main clause และ dependent clause มีประธานเป็นคนละตัวกัน
เช่น
I cooked when she watched TV.
Learning Log out classroom:
สัปดาห์ที่ 11
การพัฒนาความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ
สภาพโลกาภิวัตน์ได้เชื่อมทุกประเทศให้กลายเป็นสมาคมโลก
โดยเชื่อมโยงทั้งด้านการถ่ายเทด้านข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ วัฒนธรรม
และเศรษฐกิจการค้าที่เปิดเสรีมากขึ้น รวมถึงการคมนาคมขนส่งจากทั่วทุกมุมโลก
ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวในการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ
ซึ่งเป็นสื่อกลางในกิจกรรมแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านการค้าและการลงทุน การศึกษา
การติดต่อสื่อสาร การท่องเที่ยว และการใช้ในชีวิตประจำวัน แม้ว่าปัจจุบันจะมีภาษาต่างประเทศอื่นๆ
เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่น ภาษาจีน ภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่น ฯลฯ
แต่ภาษาอังกฤษยังคงเป็นที่ยอมรับและนำมาใช้เป็นภาษากลางของคนทั่วโลก
แต่ภาษาอังกฤษยังคงเป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ไม่เอื้อและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของเด็กไทย บทความนี้
จะกล่าวถึงการพัฒนาตนเองด้านภาษาอังกฤษ ทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียน
ในระดับที่สามารถสื่อสาร รวมถึงนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งย่อมจะส่งผลดีต่อการพัฒนาภาษาอังกฤษของเราในอนาคต
เราสามารถพัฒนาความรู้ความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษด้วยวิธีง่ายๆ
คือ ฝึก...ฝึก...ฝึก...(Practice) โดย
1. P = Pattern การที่ผู้เรียนจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วและถูกต้องนั้น
ผู้เรียนจะต้องศึกษารูปแบบและไวยากรณ์ของภาษา
เพื่อสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง
ซึ่งการที่ผู้เรียนมีความรู้ในเรื่องของรูปแบบและไวยากรณ์นั้น ผู้เรียนจะสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องตามหลักของภาษา
ทั้งในด้านการฟัง การพูด การเขียน ตลอดจนสามารถเข้าใจหรือตีความจากสิ่งที่อ่านได้
2.
R = Relaxation แน่นอนว่าทักษะคือการฝึกซ้ำๆ แต่ช่วงระหว่างการฝึกนั้น
ผู้เรียนจะต้องรู้จักวิธีการผ่อนคลาย ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนไม่เครียดกับการฝึกมากจนเกินไป
ควรมีเวลาการฝึกและเวลาการผ่อนคลายที่แน่นอน
ซึ่งจะทำให้ไม่เครียดและไม่รู้สึกเบื่อกับการฝึกทักษะดังกล่าว เพราะเมื่อเรามีสุขภาพจิตที่ดี
อารมณ์ดีแล้ว เราก็พร้อมที่จะพัฒนาสิ่งอื่นๆ แม้กระทั่งทักษะภาษาอังกฤษให้สำเร็จจนเกิดความเชี่ยวชาญและชำนาญได้
3.
A = Aim การที่ผู้เรียนจะประสบความสำเร็จในเรื่องของภาษานั้น
ผู้เรียนจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเรียนภาษา โดยอาจคิดในทางบวกว่า
การเรียนภาษามีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน เช่น
อาจต้องสื่อสารหรือพูดคุยกับชาวต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษ เช่น การถามทาง เป็นต้น
หรือในการทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการทำงานกับชาวต่างชาติ หรือในการศึกษาต่อต่างประเทศในระดับสูงขึ้น
ซึ่งภาษาอังกฤษมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสื่อสารเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน
4.
C = Concentration ผู้เรียนจะต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจขณะที่ครูสอนภาษาอังกฤษ
ตั้งใจฟังในสิ่งที่ครูพูด โดยพยายามเลียนแบบการออกเสียจากครูเพื่อการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง
ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและชัดเจน
ผู้ฟังสามารถฟังและเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อสารได้
5.
T = Tactics ในการเรียนภาษาอังกฤษนั้น ผู้เรียนจะต้องมีกลวิธีในการเรียน
เช่น เมื่อพบเห็นคำศัพท์ใหม่ๆ ก็จดบันทึกไว้ อาจเป็นคำศัพท์จากการดูหนัง ฟังเพลง
หรือโฆษณาต่างๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษ เมื่อผู้เรียนมีเวลาว่างก็นำขึ้นมาอ่านทบทวน
และเมื่อทบทวนไปเรื่อยๆ ผู้เรียนก็จะสามารถจำคำศัพท์นั้นๆ ได้
นอกจากนี้อาจนำคำศัพท์ที่ได้นั้นลองฝึกแต่งประโยคสั้นๆ หรือแล้วแต่ความสามรถ
เพื่อฝึกในการใช้คำศัพท์นั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง
และเกิดความชำนาญในการใช้คำศัพท์ต่างๆ อีกด้วย ในการอ่านข้อความต่างๆ ในแต่ละครั้ง
ผู้เรียนก็อาจจะใช้เทคนิคการเดาความหมายคำศัพท์จากบริบทของประโยคเพื่อทำความเข้าใจและสามารถตีความออกมาเป็นภาษาของตัวเองได้
6.
I = Intelligence ผู้เรียนมีสติปัญญาในการเรียนรู้ ซึ่งจะต้องมีวิธีการวางแผนการเรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเองในการฝึกภาษาอังกฤษ
จนสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
ซึ่งผู้เรียนจะต้องสามารถฟัง พูด อ่าน และเขียนภาษาอังกฤษได้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ
ผู้เรียนจะต้องหมั่นฝึกฝนทักษะดังกล่าวให้มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในการใช้ภาษาอังกฤษ
7.
C = Communication เมื่อผู้เรียนฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษจนเกิดความคล่องแคล่วและมีความถูกต้องตามหลักการหรือไวยากรณ์ทางด้านภาษาแล้ว
ผู้เรียนจะต้องสามารถนำภาษาไปใช้ให้เกิดประโยชน์หรือใช้กับสถานที่หรือชีวิตจริงได้
โดยอาจฝึกพูดกับครูหรือชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวหรือพบเจอในสถานที่และบริบทต่างๆ
ได้ ซึ่งจะต้องสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือความรู้กับผู้อื่นเป็นภาษาอังกฤษได้
8. E = Eagerness มีจิตใจใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา
นอกห้องเรียนก็ทบทวนสิ่งที่เรียนมาแล้ว
ตลอดจนฝึกฝนเพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น ฟังวิทยุ ดูรายการโทรทัศน์
อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ตลอดจนศึกษาเพิ่มเติมจากห้องสมุด อินเทอร์เน็ต
หรือห้องศูนย์การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เป็นต้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษนั้น
ผู้เรียนสามารถมีช่องทางในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตนเองได้อย่างหลากหลาย
แล้วแต่จะเลือกตามความสะดวกและสมัครใจ อย่างไรก็ตาม
ประเด็นสำคัญในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษคือ
การมีวินัยในการฝึกฝนและทำให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องสนุกสนาน
ย่อมจะนำไปสู่การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ
และเกิดประโยชน์ต่อบุคคลรอบข้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น