.

.

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log: สัปดาห์ที่ 11

Learning Log in classroom: สัปดาห์ที่ 11

Time Clause

            Time clause หรือ Adverb clause of time เป็น clause ที่ทำหน้าที่ขยายกริยา เพื่อบอกให้ทราบว่าการกระทำหรือเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อใด
การละ Time clause ที่ตามหลัง adverb of time เช่น after, before, since,
            1.กรณีที่เป็น Passive voice
            -เมี่อมีประธานที่เป็นนามทั่วไป และสรรพนามที่ทำหน้าที่เหมือนกันในประโยค หรือเป็นตัวเดียวกัน ให้สลับที่ระหว่างนามทั่วไปที่เป็นประธานและสรรพนาม แล้วจึงทำการละสรรพนามออก และเปลี่ยน V.to be เป็น being แล้วตามด้วย V.3 เช่น

                        After the book was published, it was popular.
            =           After it was published, the book was popular.
            =           After being published, the book was popular.

            -เมื่อประธานเป็นสรรพนาม และมีสรรพนามอีกตัวหนึ่งทำหน้าที่เหมือนกับประธานสรรพนามข้างต้น หรือเป็นตัวเดียวกัน ให้ทำการละสรรพนามหลัง adverb of time ออก และเปลี่ยน V.to be เป็น being แล้วตามด้วย V.3 เช่น
                        Before she is punished, she cried.
            =           Before being punished, she cried.
            2.กรณีที่เป็น Active voice
            -เมื่อมีประธานเป็นนามทั่วไป และมีสรรพนามที่ทำหน้าที่เหมือนกันในประโยค หรือเป็นตัวเดียวกัน ให้สลับที่ระหว่างประธานและสรรนาม แล้วจึงทำการละสรรพนามออก และเปลี่ยน V. ที่ตามหลัง adverb of time เป็น V.1+ing เช่น
                        After the teachers visited in London, they developed their research.
            =           After they visited in London, the teachers developed their research.
            =           After visiting in London, the teachers developed their research.
           
-เมื่อมีประธานเป็นสรรพนาม และมีรรพนามอีกตัวที่ทำหน้าที่เหมือนประธานสรรพนามข้างต้นหรือเป็นตัวเดียวกัน ให้ทำการละสรรพนามหลัง adverb of time และเปลี่ยน V. ที่ตามหลัง adverb of time เป็น V.1+ing เช่น
            He goes home after he finished his assignments.
=           He goes home after finishing his assignments.
3.กรณีที่มีกริยาช่วยเป็น V.to have
-เมื่อมีประธาน และสรรพนามที่ทำหน้าที่เหือนกันในประโยค ให้สลับที่ระหว่างประธานและสรรพนามม แล้วจึงทำการละประธานหลัง adverb of time ออก และไม่ว่า V.to have จะเป็น has หรือ had ก็ให้เปลี่ยนเป็น have แล้วเติม ing เช่น
            After I had finished my work, I went to the bed.
=           After having finished my work, I went to the bed.
แต่หากจะให้สั้นและกระชับยิ่งขึ้น ก็ให้ตัด having ออก แล้วเปลี่ยน V. ให้เป็น V.1 แล้วเติม ing จะได้ว่า
=           After finishing my work, I went to the bed.
4.กรณีต่อไปนี้จะละไม่ได้
-เมื่อประธานใน main clause และ dependent clause มีประธานเป็นคนละตัวกัน เช่น
            I cooked when she watched TV.


Learning Log out classroom: สัปดาห์ที่ 11

การพัฒนาความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ

            สภาพโลกาภิวัตน์ได้เชื่อมทุกประเทศให้กลายเป็นสมาคมโลก โดยเชื่อมโยงทั้งด้านการถ่ายเทด้านข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจการค้าที่เปิดเสรีมากขึ้น รวมถึงการคมนาคมขนส่งจากทั่วทุกมุมโลก ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวในการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นสื่อกลางในกิจกรรมแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านการค้าและการลงทุน การศึกษา การติดต่อสื่อสาร การท่องเที่ยว และการใช้ในชีวิตประจำวัน แม้ว่าปัจจุบันจะมีภาษาต่างประเทศอื่นๆ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่น ภาษาจีน ภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่น ฯลฯ แต่ภาษาอังกฤษยังคงเป็นที่ยอมรับและนำมาใช้เป็นภาษากลางของคนทั่วโลก แต่ภาษาอังกฤษยังคงเป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ไม่เอื้อและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของเด็กไทย  บทความนี้ จะกล่าวถึงการพัฒนาตนเองด้านภาษาอังกฤษ ทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียน ในระดับที่สามารถสื่อสาร รวมถึงนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้  ซึ่งย่อมจะส่งผลดีต่อการพัฒนาภาษาอังกฤษของเราในอนาคต
            เราสามารถพัฒนาความรู้ความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษด้วยวิธีง่ายๆ คือ ฝึก...ฝึก...ฝึก...(Practiceโดย 1. P = Pattern การที่ผู้เรียนจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วและถูกต้องนั้น ผู้เรียนจะต้องศึกษารูปแบบและไวยากรณ์ของภาษา เพื่อสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง ซึ่งการที่ผู้เรียนมีความรู้ในเรื่องของรูปแบบและไวยากรณ์นั้น ผู้เรียนจะสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องตามหลักของภาษา ทั้งในด้านการฟัง การพูด การเขียน ตลอดจนสามารถเข้าใจหรือตีความจากสิ่งที่อ่านได้
            2. R = Relaxation แน่นอนว่าทักษะคือการฝึกซ้ำๆ แต่ช่วงระหว่างการฝึกนั้น ผู้เรียนจะต้องรู้จักวิธีการผ่อนคลาย ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนไม่เครียดกับการฝึกมากจนเกินไป ควรมีเวลาการฝึกและเวลาการผ่อนคลายที่แน่นอน ซึ่งจะทำให้ไม่เครียดและไม่รู้สึกเบื่อกับการฝึกทักษะดังกล่าว เพราะเมื่อเรามีสุขภาพจิตที่ดี อารมณ์ดีแล้ว เราก็พร้อมที่จะพัฒนาสิ่งอื่นๆ แม้กระทั่งทักษะภาษาอังกฤษให้สำเร็จจนเกิดความเชี่ยวชาญและชำนาญได้
            3. A = Aim การที่ผู้เรียนจะประสบความสำเร็จในเรื่องของภาษานั้น ผู้เรียนจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเรียนภาษา โดยอาจคิดในทางบวกว่า การเรียนภาษามีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน เช่น อาจต้องสื่อสารหรือพูดคุยกับชาวต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษ เช่น การถามทาง เป็นต้น หรือในการทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการทำงานกับชาวต่างชาติ หรือในการศึกษาต่อต่างประเทศในระดับสูงขึ้น ซึ่งภาษาอังกฤษมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสื่อสารเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน
            4. C = Concentration ผู้เรียนจะต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจขณะที่ครูสอนภาษาอังกฤษ ตั้งใจฟังในสิ่งที่ครูพูด โดยพยายามเลียนแบบการออกเสียจากครูเพื่อการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและชัดเจน ผู้ฟังสามารถฟังและเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อสารได้
            5. T = Tactics ในการเรียนภาษาอังกฤษนั้น ผู้เรียนจะต้องมีกลวิธีในการเรียน เช่น เมื่อพบเห็นคำศัพท์ใหม่ๆ ก็จดบันทึกไว้ อาจเป็นคำศัพท์จากการดูหนัง ฟังเพลง หรือโฆษณาต่างๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษ เมื่อผู้เรียนมีเวลาว่างก็นำขึ้นมาอ่านทบทวน และเมื่อทบทวนไปเรื่อยๆ ผู้เรียนก็จะสามารถจำคำศัพท์นั้นๆ ได้ นอกจากนี้อาจนำคำศัพท์ที่ได้นั้นลองฝึกแต่งประโยคสั้นๆ หรือแล้วแต่ความสามรถ เพื่อฝึกในการใช้คำศัพท์นั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง และเกิดความชำนาญในการใช้คำศัพท์ต่างๆ อีกด้วย ในการอ่านข้อความต่างๆ ในแต่ละครั้ง ผู้เรียนก็อาจจะใช้เทคนิคการเดาความหมายคำศัพท์จากบริบทของประโยคเพื่อทำความเข้าใจและสามารถตีความออกมาเป็นภาษาของตัวเองได้
            6. I = Intelligence ผู้เรียนมีสติปัญญาในการเรียนรู้ ซึ่งจะต้องมีวิธีการวางแผนการเรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเองในการฝึกภาษาอังกฤษ จนสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งผู้เรียนจะต้องสามารถฟัง พูด อ่าน และเขียนภาษาอังกฤษได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้เรียนจะต้องหมั่นฝึกฝนทักษะดังกล่าวให้มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในการใช้ภาษาอังกฤษ
            7. C = Communication เมื่อผู้เรียนฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษจนเกิดความคล่องแคล่วและมีความถูกต้องตามหลักการหรือไวยากรณ์ทางด้านภาษาแล้ว ผู้เรียนจะต้องสามารถนำภาษาไปใช้ให้เกิดประโยชน์หรือใช้กับสถานที่หรือชีวิตจริงได้ โดยอาจฝึกพูดกับครูหรือชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวหรือพบเจอในสถานที่และบริบทต่างๆ ได้ ซึ่งจะต้องสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือความรู้กับผู้อื่นเป็นภาษาอังกฤษได้
            8E = Eagerness มีจิตใจใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา นอกห้องเรียนก็ทบทวนสิ่งที่เรียนมาแล้ว ตลอดจนฝึกฝนเพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น ฟังวิทยุ ดูรายการโทรทัศน์ อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ตลอดจนศึกษาเพิ่มเติมจากห้องสมุด อินเทอร์เน็ต หรือห้องศูนย์การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เป็นต้น 
            ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษนั้น ผู้เรียนสามารถมีช่องทางในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตนเองได้อย่างหลากหลาย แล้วแต่จะเลือกตามความสะดวกและสมัครใจ อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษคือ การมีวินัยในการฝึกฝนและทำให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องสนุกสนาน ย่อมจะนำไปสู่การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ และเกิดประโยชน์ต่อบุคคลรอบข้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

.

.