Learning Log in classroom:
สัปดาห์ที่ 10
Noun Clause
ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันนั้น
หากลองมองในส่วนของการสื่อสารแล้ว เรามักจะพูดหรือใช้ประโยคในรูปแบบต่าง ๆ
มากมายเพื่อสื่อสาร แสดงทัศนะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือความคิด เล่าประสบการณ์
ความรู้ หรือเหตุการณ์เพื่อให้ผู้ฟังรับรู้และเข้าใจตรงกัน
แต่ถ้าเราลองสังเกตดี ๆ
แล้ว ในแต่ละวันเรามักใช้ประโยคที่ประกอบด้วย Clause ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งนั่นทำให้ประโยคดูสละสลวย กระชับรัดกุม
และไม่ใช้คำหรือประโยคที่ฟุ่มเฟือย
นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการใช้ภาษาของผู้พูดหรือผู้เขียนอีกด้วย
แต่การใช้ Clause ก็มีข้อสังเกตและกฎหรือหลักการใช้แตกต่างกันไป
สำหรับ Clause ที่ผู้เขียนจะนำเสนอต่อไปนี้คือ
Noun Clause
Noun Clause แปลว่า “นามานุประโยค”
ได้แก่ประโยคย่อยซึ่งแฝงอยู่ในนประโยคใหญ่
ซึ่งถูกนำมาใช้เสมือนกับเป็นคำนามคำหนึ่ง เป็นทั้ง Subject ของกริยา เป็น Object ของกริยา
เป็น Object ของ Preposition
เป็นคำซ้อน (apposition)
และเป็น Subject complement ได้ด้วย ลักษณะของ noun clause จะมีลักษณะดังต่อไปนี้
1.Noun
Clause มักจะขึ้นต้นประโยคของมันด้วย that
(เรียกว่า that-clause) ซึ่งแปลว่า “ว่า” “การที่ว่า”
“ที่ว่า” “ซึ่งการที่”
2.นำหน้าด้วยคำแสดงคำนามที่นำมาใช้เป็นคำเชื่อม
(เรียกว่า wh-clause) คือ how, what, which, when, why, who, whose, whom
หน้าที่
(Function)
ของ Noun Clause
1.Noun Clause เป็น subject ของกริยา
เช่น
What you are doing seems very
difficult.
That he will refuse the offer is
unlikely.
2.Noun Clause เป็น object ของกริยา
เช่น
Dang said that
he was pleased to welcome us.
Can you
tell me what the time is?
3.Noun Clause เป็น object ของ
preposition เช่น
He only laughed at what he
said.
They will
be very thankful for whatever you can give them.
4.Noun Clause เป็น subject complement เช่น
The fact is that he doesn’t
really try.
It seems that
he has never been paid the money.
5.Noun Clause เป็นคำซ้อน (appositive) เช่น
The fact that the prisoner
was guilty was plain to everyone.
The news that
we are having a holiday tomorrow is not true.
ควรสังเกตว่า
ประโยค that จะเป็น appositive
นั้น เฉพาะเมื่อประโยค that เป็นสิ่งเดียวกันกับคำนามข้างหน้าเท่านั้น
ถ้าประโยค that เติมเข้ามาเพื่อกำหนดสิ่งหนึ่งขึ้นจากหลาย
ๆ สิ่งแล้ว ประโยค that นั้นไม่ใช่ noun
clause แต่เป็น adjective clause เช่น The news that he
brought was not true. ในที่นี้ that he brought ไม่ใช่ตัวข่าว (The news)
แต่เป็นคำขยาย The news ว่าเป็นข่าวที่เขานำมา จึงไม่ใช่ noun
clause และอีกหนึ่งกรณี The news that
he died is not true.
ในที่นี้ that de died เป็น that-clause
เนื่องจากเป็นสิ่งเดียวกันกับคำนามข้างหน้า
หรือเป็นตัวข่าวนั่นเอง (the news =
that he died) ดังนั้น that he died เป็น
noun clause (ไม่ใช่ adjective
clause)
that-clause จะอยู่หลังคำกริยาในทำนองต่อไปนี้ (ซึ่งมีคำแปลว่า “ว่า”) เช่น
say, see, believe, suggest, request, think, hear, ask, propose, demand,
know, understand, tell, recommend, wish เป็นต้น
การละคำ
that (omission of that)
ในภาษาธรรมดา (informal)
โดยเฉพาะในภาษาพูด (spoken)
ปกติมักไม่ใช้คำ that เช่น
1.He
says coffee grows in Brazil = He says that coffee
grows in Brazil.
2.I know he’ll
return soon. = I know that he’ll
return soon.
แต่ในกรณีต่อไปนี้จะต้องใช้ that
เสมอ (จะละไม่ได้) คือ
1.ละ that ไม่ได้ เมื่อ that-clause นำหน้าประโยค เช่น
That
he had committed suicide frightened everybody.
2.ละ that ไม่ได้ เมื่อ that-clause เป็นคำซ้อน เช่น
The
news that he had committed suicide frightened everybody.
3.ละ that ไม่ได้ เมื่อ that-clause อยู่หลัง if-clause
เช่น
It’s
imperative that you should do it at once.
สำหรับ whether
นั้นใช้ได้เหมือน if ทุกประการ เช่น
Do you know if he will
get the money?
= Do you know whether he will get the money?
คุณรู้หรือเปล่าว่าเขาจะได้เงินนั้นมาหรือไม่?
Whether or not he’ll
get the money doesn’t concern me.
เขาจะได้เงินจำนวนนั้นมาหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวกับผม
I wonder whether he will
get the money (or not).
ผมสงสัยว่าเขาจะได้เงินจำนวนนั้นหรือไม่
จะเห็นได้ว่า
Noun Clause ก็มีข้อควรสังเกต
กฎหรือหลักการใช้ที่ผู้เรียนจะต้องฝึกใช้หรือมีความสามารถในการใช้ประโยคที่เป็น Noun
Clause ได้
ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
และถ้ามีความถูกต้องตามกฎหรือหลักการใช้ของ Noun Clause ด้วยแล้ว ก็จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้เรียนมากยิ่งขึ้นด้วย
ดังนั้นผู้เรียนจึงต้องศึกษาและทำคามเข้าใจในเรื่อง Noun Clause ให้กระจ่าง
เพื่อการใช้ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
สามารถสื่อสารหรือแสดงทัศนะหรือความคิดเห็นกับผู้อื่นได้อย่างเข้าใจและเกิดประสิทธิผล
Learning Log out classroom:
สัปดาห์ที่ 10
จะพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษได้อย่างไร
เคยรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวเมื่อคนรอบข้างคุยเป็นภาษาอังกฤษหรือเปล่า
บางครั้งเหมือนจะเข้าใจความหมายในประโยคที่คนอื่นคุยเป็นภาษาอังกฤษกัน แต่ก็ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งซักทีว่าพวกเขาเหล่านั้นคุยอะไรกัน
เคยฟังเสียงภาษาอังกฤษสำเร็จรูป แต่ก็ไม่เข้าใจความหมายและเหมือนจะฟังไปนาน ๆ
ก็ยิ่งรู้สึกเบื่อและไม่อยากฟังอีกต่อไป
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาปกติของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
ซึ่งทักษะการฟังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้เรียนหรือผู้ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
ทั้งนี้ก็เพื่อทำความเข้าใจความหมายและสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษกับผู้อื่นหรือชาวต่างชาติได้
แต่อย่ากังวลเพราะทักษะการฟังที่ดีนั้นเราสามารถฝึกฝนและพัฒนาให้ดีขึ้นได้
อาจได้มาค่อนข้างยากแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว
คำแนะนำต่อไปนี้สามารถนำไปใช้เพื่อช่วยพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษของเราให้เก่งและดีขึ้นได้
1.การรู้ขีดจำกัดขอตัวเอง ในทุก ๆ วัน
เราควรฟังภาษาอังกฤษให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ครั้งละสั้น ๆ
ก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับสมองของเรา เพราะสมองของเรานั้นไม่ใช่เครื่องจักรหรือเครื่องกล
ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่เริ่มรู้สึกหงุดหงิดหรือฟังไม่ค่อยเข้าใจ
ก็หยุดพักสักนิดก่อนแล้วจึงค่อยฟังต่อ และจำไว้อย่างหนึ่งว่า
การพัฒนาทักษะการฟังนั้นจะต้องใช้เวลา คามขยันเอาใจใส่ แความอดทนมากเลยทีเดียว
2.เลือกฟังให้ดี
ถ้าเรามัวแต่หยุดแปลทุกคำที่เราได้ยินมานั้น จะทำให้เราพลาดบทสนทนาที่เหลือ
เพราะเราจะเอาสมองและสมาธิของเราไปใช้ในการแปลคำศัพท์จนฟังส่วนที่เหลือของประโยคไม่ทันหรือแทบจะไม่ได้ฟังเลยด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นเราจึงควรเลือกฟังแต่พอเหมาะพอดี และถ้าได้พูดคุยกับชาวต่างชาติหรือเจ้าของภาษาด้วยแล้ว
ลองพยายามเลือกฟังและจับคำหรือวลีที่เป็นใจความสำคัญ จดเอาไว้แล้วค่อยไปแปลทีหลัง
ไม่นานเราก็จะสังเกตเห็นว่า ทักษะการฟังภาษาอังกฤษของเรานั้นดีขึ้น
และยังมีความรู้ทางคำศัพท์เพิ่มขึ้นด้วย
3.จับรูปแบบของการออกเสียง
เคยสังเกตบ้างไหมว่าเมื่อเจ้าของภาษาพูดนั้นจะเน้นเสียงหรือคำบางคำเท่านั้น
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง
ถ้าเราองตั้งใจฟังให้ดีเราจะสังเกตเห็นรูปแบบการพูดของเจ้าของภาษาว่าเขจะเน้นเสียงหรือพยาค์หรือคำจำพวก
content words ได้แก่ คำนาม
คำกริยาหรือคำคุณศัพท์ ส่วนคำจำพวก function words ได้แก่ คำบุพบทหรือคำสรรพนามจะไม่ค่อยถูกเน้นเสียง
ถ้าเราฟังคำที่ถูกเน้นนั้นได้แล้ว
เราก็จะสามารถเข้าใจถึงใจความสำคัญของเรื่องที่ได้ยินได้
4.ภาพยนตร์
คนเราแทบทุกคนต่างก็ชอบดูภาพยนตร์หรือหนังกันทั้งนั้น
และถ้าเราลองเอาความชอบนี้มาประกอบกับการฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษของเราด้วยแล้ว
จะช่วยทำให้การฝึกทักษะการฟังของเราง่ายขึ้น ลองดูภาพยนตร์เรื่องที่เราชอบ
ครั้งแรกที่ดูก็ให้เลือก subtitles ที่เป็นภาษาไทยที่เราจะเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
ต่อไปเปิดดูอีกรอบคราวนี้เลือก subtitles เป็นภาษาอังกฤษ
เมื่อถึงตอนนี้เราคงเข้าใจบทสนทนาและเนื้อหาของเรื่องนั้นดีแล้ว
ลองดูอีกรอบและคราวนี้ไม่ต้องมี subtitles
เลย แต่ต้องตั้งใจฟังอย่างเดียวเท่านั้นพอ
5.ความช่วยเหลืออยู่ห่างไปแค่คลิกเดียวเท่านั้น
ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งทรัพยากรทางความรู้ที่ใหญ่ที่สุดแหล่งหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษของเราได้
ตัวอย่างเช่น Englishtown มีบทเรียน
interactive ทุกวันให้เราสามารถฟังและอ่านบทสนทนา
และถ้าสมัครเป็นสมาชิกแล้ว เราจะได้เข้าร่วมบทเรียนสนทนาแบบสด ๆ ทางออนไลน์
เป็นการฝึกพูดคุยภาษาอังกฤษกับครูผู้ซึ่งเป็นเจ้าของภาษาและเพื่อนร่วมชั้นจากประเทศต่าง
ๆ ทั่วโลก
การฝึกทักษะภาษาอังกฤษที่ดีและให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น
ผู้เรียนจะต้องมีความตั้งใจและมีเป้าหมายอย่างชัดเจนแล้วว่า
จะพัฒนาตนเองให้มีความรู้และมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษ
เพราะภาษานั้นเป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ต้องพัฒนาและใช้เวลาในการฝึกฝนพอสมควร
ซึ่งถ้าผู้เรียนมีความอดทนและสามารถฝึกฝนทักษะดังกล่าวจนเชี่ยวชาญแล้ว
ก็จะสามารถสื่อสารและใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถฟัง พูด อ่าน
และเขียนภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง
กระทั่งเข้าใจและถ่ายทอดหรือสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิผล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น