.

.

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log: สัปดาห์ที่ 3


Learning Log in classroom: สัปดาห์ที่ 3

Tenses

            tense คืออะไร ตามตำราจะบอกว่า tense คือกาลหรือเวลา แต่จริง ๆ แล้ว tense คือโครงสร้างประโยค ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่มใหญ่ 12 รูปแบบย่อย และสิ่งที่ทำให้โครงสร้างของประโยคมี 3 กลุ่ม 12 รูปแบบ คือ เวลา ได้แก่ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่ง 12 รูปแบบที่ว่านี้ คือ tense ทั้ง 12 ซึ่งมีโครงสร้างของคำกริยาที่ต่างกัน เช่น I eat. I am eating. I have eaten. I have been eating.
ซึ่งคำกริยาหลักของประโยคก็คือ eat แต่ความหมายนั้นต่างกันทั้งหมด นั่นก็คือ รูปแบบ (หรือโครงสร้าง) ของริยาที่แสดงให้เราทราบว่า การกระทำหรือเหตุการณ์นั้น ๆ เกิดขึ้นเมื่อใด tense จึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราใช้ tense ไม่ถูก เราก็จะสื่อสารกับผู้อื่นไม่ได้ เพราในประโยคภาษาอังกฤษนนั้นจะอยู่ในรูปของ tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทย ที่เราจะมีข้อความบอกว่าเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูปของ tense นี้มาเป็นตัวบอก ดังนั้น การศึกษาเรื่อง tense จึงเป็นเรื่องจำเป็น
            1.tense ในภาษาอังกฤษนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 tense ใหญ่ ๆ คือ
1.Present tense            ปัจจุบัน
2.Past tense                  อดีตกาล
3.Future tense              อนาคตกาล
ในแต่ละ tense ยังสามารถแยกย่อยได้ tense ละ 4 คือ
1.Simple tense                         ธรรมดา (ง่าย ๆ ตรง ๆ ไม่ซับซ้อน)
2.Continuous tense                  กำลังกระทำอยู่ (กำลังเกิดอยู่)
3.Perfect tense                         สมบูรณ์ (ทำเรียบร้อยแล้ว)
4.Perfect continuous tense      สมบูรณ์กำลังกระทำ (ทำเรียบร้อยแล้วและกำลังดำเนินอยู่ด้วย)
            2.โครงสร้าง tense ทั้ง 12 มีดังนี้
2.1 Present tense
2.1.1 S + V1 +….. (บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่าย ๆ ตรง ๆ ไม่ซับซ้อน)
2.1.2 S + is, am, are + V1 (-ing) +….. (บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไรอยู่)
2.1.3 S + has, have + V3 +….. (บอกได้ว่าทำมาแล้วจนถึงปัจจุบัน)
2.1.4 S + has, have + been + V1 (-ing) +…..(บอกได้ว่าทำมาแล้ว และกำลังทำต่อไปอีก)
2.2 Past tense
2.2.1 S + V2 +….. (บอกเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต)
2.2.2 S + was, were + V1 (-ing) +….. (บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต)
2.2.3 S + had + V3 +….. (บอกเรื่องที่ทำมาแล้วในอดีต ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง)
2.2.4 S + had + been + V1 (-ing) +…..(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อเนื่องไม่หยุด)
2.3 Future tense
2.3.1 S + will, shall + V1 +….. (บอกเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต)
2.3.2 S + will, shall + be + V1 (-ing) +….. (บอกว่าอนาคตนั้น ๆ กำลังทำอะไรอยู่)
2.3.3 S + will, shall + have + been + V3 +….. (บอกเรื่องที่จะเกิดขึ้นหรือสำเร็จในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง)
2.3.4 S + will, shall + have + been + V1 (-ing) +…..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคตและจะทำต่อไปเรื่อย ๆ ข้างหน้า)
3.หลักการใช้แต่ละ tense มีดังนี้
3.1 Present tense
            3.1.1 Present simple tense เช่น He walks. เขาเดิน, ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิต พังเพย, ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม), ใช้กับกริยาที่ทำนานได้ เช่น รัก เข้าใจ รู้ เป็นต้น, ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ (จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย), ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่าง ๆ ในอดีต เช่น นิยาย นิทาน, ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้นด้วยคำว่า If (ถ้า) unless (เว้นเสียแต่ว่า) as soon as (เมื่อ, ขณะที่) till (จนกระทั่ง) whenever (เมื่อไรก็ตาม) while (ขณะที่) เป็นต้น, ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย เช่น always (เสมอ ๆ ) often (บ่อย ๆ ) every day (ทุก ๆวัน) เป็นต้น, ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็นความจริงหรือเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ประโยคตามก็ต้องแบบเดียวกันด้วยเสมอ
           
3.1.2 Present continuous tense เช่น He is walking. เขากำลังเดิน, ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด (ใช้ now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้อนประโยค หลังกริยาหรือสุดประโยคก็ได้), ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน เช่น ในวันนี้ ในปีนี้ เป็นต้น, ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น เร็ว ๆ นี้ พรุ่งนี้ เป็นต้น
3.1.3 Present perfect tense เช่น Ha has walked. เขาได้เดินมาแล้ว, ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และมีคำว่า since  (ตั้งแต่) และ for (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ, ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกในปัจจุบันหรือจะทำในอนาคตก็ได้) และจะมีคำว่า ever (เคย) never (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย, ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผุ้พูดยังประทับใจอยู่, ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน (ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ just (เพิ่งจะ) already (เรียบร้อยแล้ว) yet (ยัง) finally (ในที่สุด) เป็นต้น
3.1.4 Present perfect continuous tense เช่น He has been walking. เขาได้กำลังเดินแล้ว, มีหลักการใช้เหมือน 3.1.3 ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนคตด้วย ซึ่ง 3.1.3 นั้นจะไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ส่วน tense นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจำกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย
                        3.2 Past tense
            3.2.1 Past simple tense เช่น He walked. เขาเดินแล้ว, ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น yesterday (เมื่อวาน) เป็นต้น, ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้น ๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น always, every day) กับคำวเศษณ์บอกเวลา (เช่น yesterday, last month) 2 อย่างมาร่วมด้วยเสมอ, ใช้กับหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิดอยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว ซึ่งจะมีคำว่า ago นี้ร่วมอยู่ด้วย, ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น 3.2.1 ประโยคคล้อยตามก็ต้องเป็น 3.2.1 ด้วย
            3.2.2 Past continuous tense เช่น He was walking. เขากำลังเดินแล้ว, ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้กระทำติดต่อกันตอดเวลาที่ไม่ได้ระบุไว้ในประโยค ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค (เช่น all day, all yesterday), ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต  (tense นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง ถ้าเกิดก่อนใช้ 3.2.2 ถ้าเกิดหลังใช้ 3.2.1), ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน (ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น) แต่เป็นอดีตไปแล้วทั้งคู่ และมักเชื่อม 2 เหตุการณ์นี้เข้าด้วยกันด้วย while และ when เช่น He was cleaning the house while I was cooking breakfast.
            3.2.3 Past perfect tense เช่น Ha had walked. เขาได้เดินแล้ว, ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนใช้ 3.2.3 เกิดขึ้นหลังใช้ 3.2.1, ใช้ Past perfect tense หลัง that ในประโยค Indirect speech ที่เปลี่ยนมาจาก Direct speech, ใช้ Past perfect tense ตามหลัง wish (ปรารถนา) ในการแสดงความปรารถนา โดยอยากให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ในอดีต แต่ในความเป็นจริงในอดีตก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย โดยใช้สูตรดังนี้ wish + Past perfect tense
            3.2.4 Past perfect continuous tense เช่น He had been walking. มีหลักการใช้เหมือนกับ 3.2.3 ทุกกรณี เพียงแต่ tense นี้ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1 ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่ 2 โดยมิได้หยุด เช่น When we arrived at the meeting, the lecture had been speaking for an hour. เมื่อพวกเราไปถึงที่ประชุม ผู้บรรยายได้พูดมาแล้วเป็นเวลา 1 ชั่วโมง
                        3.3 Future tense
            3.3.1 Future simple tense เช่น He will walk. ใช้กับเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้นอนาคต (ซึ่งมีคำ tomorrow, tonight, next week, next month เป็นต้น ร่วมอยู่ด้วย) นอกจากนี้เราอาจจะใช้ Verb to be (is, am, are) + going to + Verb1 +… ได้อีกด้วย เพื่อเน้นความตั้งใจหรือการตัดสินใจที่ได้ทำไปแล้ว เพื่อแสดงความคาดคะเนโดยอาศัยข้อเท็จจริงในปัจจุบันเป็นหลัก โดยกะว่าการกระทำหรือเหตุการณ์นั้นกำลังอยู่ในระหว่างทางที่จะมาถึงหรือใกล้จะเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว และเพื่อแสดความเชื่อมั่นว่าเหตุการณ์นั้น ๆ จะเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน หรืออาจเป็นไปได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ Verb to be + going to + V.1 +… ใช้กับความจงใจของมนุษย์เท่านั้น
            3.3.2 Future continuous tense เช่น He will be walking. เขากำลังจะเดิน, ใช้ในการบอกว่าบางสิ่งบางอย่างจะกำลังดำเนินอยู่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต (ต้องกำหนดเวลาแน่นอนด้วยเสมอ เช่น at this time tomorrow), ใช้ในการคาดเดาเหตุการณ์ในปัจจุบันว่า ณ เวลานี้ คงมีเหตุการณ์อย่างนั้นอย่างนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ก็ได้ เกิดก่อนใช้ 3.1.1 เกิดหลังใช้ 3.3.2
            3.3.3 Future perfect tense เช่น He will have walked. เขาจะได้เดินแล้ว, ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต โดยจะมีคำว่า by, after และ before นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา, ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนคต ซึ่งเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าว่า เมื่อถึงเวลานั้นเหตุการณ์อย่างหนึ่งก็คงจะเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว ก่อนที่อีกเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้น โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนใช้ 3.3.3 เกิดหลังใช้ 3.1.1 และอาจเชื่อม 2 เหตุการณ์ด้วยคำว่า when หรือ before ก็ได้
            3.3.4 Future perfect continuous tense เช่น He will have been walking. เขาจะได้กำลังเดินแล้ว, ใช้เหมือน 3.3.3 ต่างกันเพียงแต่ว่า 3.3.4 จะเน้นถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่ 2 และจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย เช่น By next April we shall have been living here for five years. เมื่อถึงเดือนเมษาหน้า พวกเราก็จะอยู่ที่นี่เป็นเวลาครบ 5 ปี
            เมื่อเรารู้โครงสร้างประโยคในรูปแบบต่าง ๆ แล้ว และเมื่อเราจะทำการแปลความหมาย จำเป็นที่เราจะต้องแปลความหมายให้ถูกต้องตามโครงสร้างของประโยคนั้น ๆ เพราะนั่นคือการให้ความหมายการกระทำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง และย่อมไม่เกิดความผิดพลาดในงานแปลความหมายและการสื่อสารอย่างแน่นอน อีกทั้งการสื่อสารก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ฟังสามารถเข้าใจและสื่อสารกับเราได้อย่างเกิดประสิทธิผล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้แปลควรระวังในเรื่องของภาษาแม่ เพราะปัญหาในการแปลส่วนใหญ่แล้ว ผู้แปลมักนำโครงสร้างทางภาษาไทยเข้ามาแทรกแซงในการแปลงานภาษาอังกฤษ ปัญหาดังกล่าวเกิดจากความแตกต่างทางด้านโครงสร้างทางภาษาของทั้งสองภาษา จึงส่งผลให้เกิดความสับสนและเกิดปัญหาในการสื่อสารได้โดยง่าย ดังนั้นผู้แปลจะต้องมีความเชี่ยวชาญในโครงสร้างทางภาษาอังกฤษเพื่อการแปลที่ดี และเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการสื่อสารและงานแปลมากที่สุด


Learning Log out classroom: สัปดาห์ที่ 3

Listening and Speaking skills

            ทักษะการฟัง หมายถึง ความสามารถในการจับประเด็นใจความหลักจากสิ่งที่ฟังได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งเป็นกนะบวนการที่สลับซับซ้อน เพราะต้องเข้าใจสาระสำคัญจากสิ่งที่พูด อารมณ์และความคิดของผู้พูด หรือบริบทของการพูดได้ ทักษะการฟังภาษาอังกฤษจึงสิ่งเป็นสำคัญที่ต้องฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ และมีความสามารถในการฟังอย่างเข้าใจในสารที่ได้รับฟัง เพราะเนื่องจากการสื่อสารกับชาวต่างชาตินั้น การฟังนับว่าเป็นทักษะรับสารที่สำคัญทักษะหนึ่ง เพราะผู้พูดจะต้อฟังให้เข้าใจเสียก่อนจึงจะสามารถพูดโต้ตอบ อ่าน หรือเขียนได้ ทักษะการฟังจึงเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ดังนั้นจึงควรฝึกฝนทักษะการฟังอย่างเพียงพอและจริงจัง คำพูดที่ว่า “ทำอย่างไรให้ฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง” หรือ “ทำอย่างไรจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง” และ “ทำอย่างไรจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง” เป็นคำพูดที่ส่วนใหญ่ยังคงพูดกัน ทั้ง ๆ ที่เรียนภาษาอังกฤษกันมาแล้วหลายปี ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนยังเสาะหาที่จะเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมจากที่ต้องเรียนในโรงเรียน และบางคนผ่านการเรียนภาษาอังกฤษจากสถายันการสอนภาษาอังกฤษมาแล้วหลายสถาบันด้วยกัน แต่ก็ยังไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ บางคนามารถอ่านภาษาอังกฤษได้ดี เข้าใจดี หรือบางคนทำคะแนนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษได้ดี แต่กลับไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ เพราะอะไร?
            สาเหตุที่สำคัญ คือ การพูดภาษาให้เก่งหรือคล่องนั้น เราจะต้องพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษเสียก่อน และวิธีการฟังให้ได้ผลดี คือ เราต้องฟังประโยคเดิมซ้ำ ๆ หลาย ๆ รอบ จนขึ้นใจแล้วพูดตามได้ และออกเสียงได้ใกล้เคียงเจ้าของภาษามากที่สุด อาจไม่เข้าใจความหมายหรือคำแปล แต่เพียงแค่พูดภาษาอังกฤษออกมาให้ได้ก่อน เมื่อเราพูดประโยคภาษาอังกฤษเหล่านั้นออกมาได้แล้ว เราก็จะหายพะวงในเรื่องของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และแสดงว่าเราสามารถที่จะพูดภาษาอังกฤษได้อย่างอัตโนมัติแล้ว หลังจากนั้นจึงค่อยศึกษาคำแปลของประโยคเหล่านั้น และเพิ่มประโยคภาษาอังกฤษให้มากขึ้น ลำดับต่อไปจึงฝึกพูดประโยคภาษาอังกฤษเหล่านั้นให้เร็วขึ้น เมื่อเราฝึกเยอะ ๆ เราก็สามารถพูดภาษาอังกฤษแบบอัตโนมัติจากจิตใต้สำนึกโดยไม่ติดขัดอีกต่อไป แล้วจึงมาฝึกหรือแก้ไขคำที่เรามักออกเสียงไม่ถูกต้อง ไม่ชัด เพื่อให้พูดได้ชัดเจนขึ้นและถูกต้องมากขึ้น เราลองเปรียบเทียบดูว่า ภาษาไทยที่เราพูด อ่าน และเขียนได้ในปัจจุบันมีพื้นฐานมาจากอะไร หากไม่ใช่มาจากการฟัง ฟังจนเข้าใจในสิ่งที่เราได้รับรฟังมา แล้วเลียนเสียงนั้น(การพูดตาม) จนพูดได้ หลังจากนั้น เราจึงเริ่มการอ่าน แล้วจึงตามด้วยการเขียน
            วิธีการฝึกฟังและพูดภาษาอังกฤษให้ได้ผลเร็ว อาจทำได้โดยฝึกฟังจากเทปหหรือเสียงบทสนทนาภาษาอังกฤษ เพลงหรือภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ ซึ่งจะต้องพูดด้วยความเร็วปกติที่ชาวต่างชาติพูด อย่าฝึกฟังจากเทปที่พูดช้ากว่าการพูดปกติของเขา เพราะจะทำให้เราเคยชินกับการฟังภาษาอังกฤษแบบช้า ๆ และเมื่อเจอชาวต่างชาติที่พูดด้วยความเร็วปกติ เราก็จะไม่เข้าใจเช่นเดิม หลังจากนั้นฝึกฟังครั้งแรก ๆ ควรเริ่มฟังครั้งละ 5-10 ประโยค ขณะที่ฝึกภาษาอังกฤษก็ต้องมี script เสมอ ในการฝึกฟังแต่ละครั้ง ต้องฟังให้ได้อย่างน้อย 4 รอบ คือ รอบที่ 1 ฟังพร้อม script และหากเห็นว่าคำใดที่เราเคยออกเสียงไม่เหมือนเขา หรือเราฟังไม่รู้เรื่อง แม้จะมี script ให้หยุดเทป แล้วจดลงใน script ว่าเสียงที่เราได้ยินนั้นคืออะไร รอบที่ 2 และ 3 ให้ออกเสีงตาม รอบที่ 4, 5, 6 และอีกหลาย ๆ รอบ ลองฟังแบบหลับตา โดยไม่มี script ช่วงแรกฝึกฟังประโยคเดิม ๆ ด้วยวิธีดังกล่าว สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มจำนวนประโยคให้มากขึ้นเป็น 15-20 ประโยค ต่อการฟังแต่ละครั้ง หากทำตามวิธีดังกล่าวข้างต้นอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะฟังภาษาอังกฤษได้เข้าใจแล้ว ยังสามารถพูดภาษาอังกฤษได้โดยไม่รู้ตัวอีกด้วย
            การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จำเป็นที่ผู้เรียนจะต้องสามารถฟังและสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างเข้าใจ และจะต้องสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีอีกด้วย การที่จะสามารถฟังและสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีนั้น เราจะหมั่นฝึกฝนทั้งการฟังและการพูดให้สม่ำเสมอ วิธีฝึกฝนดังกล่าวมีด้วยกันหลายวิธี หลากหลายรูปแบบตามที่เราชอบ สนใจหรือถนัด อาจฝึกฝนทักษะการฟังด้วยการฟังเพลงภาษาอังกฤษ ดูภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ หรือฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษ แม้อาจไม่เข้าใจบ้าง แต่หากลองฟังบ่อย ๆ วันหนึ่งก็อาจฟังเข้าใจและสามารถจับใจความสำคัญได้ว่าในเพลง ภาพยนตร์ หรือบทสนทนาดังกล่าวได้พูดหรือสนทนากันเรื่องใด และเมื่อเราฟังได้เข้าใจแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ เราอาจพูดภาษาอังกฤษได้อย่างอัตโนมัติ ดังนั้นจึงควรฝึกฝนทั้ง 2 ทักษะนี้อย่างเพียงพอและจริงจัง เพราะการสนทนาหรือสื่อสารกับชาวต่างชาตินั้น การฟังเป็นทักษะที่สำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจ และสามารถพูดสื่อสารโต้ตอบเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ 

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

.

.