.

.

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log: สัปดาห์ที่ 2

Learning Log in classroom: สัปดาห์ที่ 2

การเตรียมตัวที่ดีในการเรียนภาษาอังกฤษ

            การศึกษาเป็นการสร้างและเพิ่มพูนความรู้และความคิดของบุคคล ทำให้สามารถดำรงชีวติในสังคมได้อย่างมีความสุข และมีความเจริญก้าวหน้า สามารถมีส่วนช่วยทำนุบำรุงรักษาสังคมได้ จึงจำเป็นที่ทุกคนจะต้องศึกษาเล่าเรียนให้ต่อเนื่องกันไปตลอดชีวิต เพราะการศึกษาจะช่วยให้ทุกคนได้พัฒนาตนเองในด้านความรู้ ความคิด สติปัญญา จิตใจ และความสามารถในการประกอบงานต่อไป แต่การศึกษาเล่าเรียนจำเป็นที่จะต้องใช้ทักษะต่าง ๆ ของผู้เรียนเพื่อแสวงหาให้ได้มาซึ่งความรู้
ทั้งนี้ผู้เรียนจะต้องศึกษา ค้นคว้า หรือทำความเข้าใจในส่วนของเนื้อหาหรือทฤษฎี นอกจากนี้แล้วจำเป็นที่ผู้เรียนจะต้องฝึกฝน สังเกต เพื่อฝึกทักษะในส่วนของการปฏิบัติให้คล่องแคล่วและชำนาญ การศึกษาในปัจจุบันมีหลายแขนง หลากหลายสาขาวิชาเรียนให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนตามความสนใจและความถนัด ในที่นี้ผู้เขียนขอนำเสนอการเตรียมตัวที่ดีในการเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหนึ่งที่ทั่วโลกต่างใช้สื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร การคมนาคมหรือการค้า นับได้ว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่เราคนไทยจะต้องเรียนรู้และหมั่นฝึกฝนเพื่อให้สามารถสื่อสารหรือแลกเปลี่ยนความคิดกับชาวต่างชาติได้
            การเรียนภาษาอังกฤษที่ดี จำเป็นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษา ความหมาย หรือลักษณะของภาษา อีกทั้งหมั่นฝึกฝนเพื่อให้เกิดความคล่องแคล่วและใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากที่สุด การเรียนหรือทำความเข้าใจแต่เนื้อหาของภาษานั้นไม่ได้ทำให้สามารถใช้หรือสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพมากพอ ถึงแม้จะรู้หลักโครงสร้างทางไวยากรณ์เป็นอย่างดีก็ตาม และหากผู้เรียนฝึกฝนภาษาอังกฤษจนคล่องแคล่วแต่ขาดความรู้หรือความเข้าใจในเรื่องของหลักโครงสร้างหรือระเบียบแบบแผนของภาษา การสื่อสารนั้นย่อมล้มเหลวและขาดประสิทธิผลอย่างแน่นอน ผู้เรียนจึงต้องศึกษาทั้งทางด้านเนื้อหาและฝึกปฏิบัติควบคู่กันไป การศึกษานั้นเราสามารถศึกษาได้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ มากมาย แต่การฝึกฝน เราจะต้องพัฒนาให้ครบทั้ง 4 ทักษะ นั่นคือ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะกการเขียน ซึ่งการพัฒนาแต่ละทักษะก็สามารถพัฒนาได้ในรูปแบบที่ต่างกันหรืออาจคล้ายกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
            ทักษะการฟัง ผู้เรียนอาจฟังจากสื่อมัลติมีเดีย เช่น เพลง หรือวิทยุ รายการโทรทัศน์ หรือแม้แต่ภาพยนตร์ นอกจากนี้อาจฝึกพูดสื่อสารกับเจ้าของภาษา แล้วนำมาปรับหรือพัฒนาทักษะการฟังของตนเอง ทักษะต่อไปคือทักษะการพูด ทักษะนี้อาจเกี่ยวเนื่องมาจากทักษะการฟัง เมื่อผู้เรียนฟังและจดจำอย่างดีแล้ว ก็จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมมชาติและใกล้เคียงกับเจ้าของภาษาได้เช่นกัน ทักษะการอ่านเป็นอีกทักษะหนึ่งที่สำคัญในการเรียนรู้ภาษา ผู้เรียนอาจอ่านหนังสือ หนังสือพิมพ์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษ ตลอดจนสื่อมัลติมีเดียทั้งในคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำให้ผู้เรียนได้ทั้งความรู้ ได้สังเกตและเรียนรู้หลักโครงสร้างทางไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษในเวลาเดียวกัน ทักษะสุดท้ายเป็นทักษะที่สำคัญและต้องใช้เวลาในการฝึกฝนมากที่สุด นั่นก็คือ ทักษะการเขียน ทักษะการเขียนเป็นทักษะที่ผู้เรียนสามารถเขียนบทความ เรียงความ หรือแสดงความคิดและประสบการณ์ผ่านตัวอักษรที่ร้องเรียงอย่างถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ผู้เรียนอาจศึกษาจากสื่อสิ่งพิมพ์ภาษาอังกฤษโดยผ่านทักษะการอ่าน และเมื่อผู้เขียนต้องการแสดงทัศนะหรือความคิด ก็สามารถเขียนหรือใช้อุปกรณ์ที่สามารถทดแทนการเขียนด้วยมือได้ ซึ่งผู้เรียนจะต้องให้ความใส่ใจเรื่องระเบียบแบบแผนทางภาษาในการเขียนด้วย

            จะเห็นได้ว่า การเรียนภาษาอังกฤษที่ดีนั้นผู้เรียนจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษา ความหมาย และลักษณะของภาษา ตลอดจนวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาด้วย เพื่อการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนและครอบคลุมในด้านภาษา เมื่อผู้เรียนมีความรู้ละความเข้าใจในด้านนี้แล้ว ผู้เรียนจะต้องนำไปปฏิบัติผ่านกระบวนการต่าง ๆ ทั้ง 4 ทักษะ นั่นก็คือ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน ทั้งนี้ผู้เรียนจะต้องหมั่นฝึกฝน โดยอาจฟัง ดู หรืออ่านจากสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น วารสาร หนังสือพิมพ์ สื่อมัลติมีเดียที่มีนคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต รายการโทรทัศน์ เพลง วิทยุ วิดีโอ หรือภาพยนตร์ หรือผู้เขียนอาจฝึกฝนกับเจ้าของภาษาได้โดยตรงก็ได้ ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า สื่อเหล่าน้มีอยู่มากมาย ผู้เรียนจึงมีความสะดวกในการเรียนรู้และเรียนรู้ได้ตลอดเวลา หลังจากนั้นจึงนำไปสู่การเขียนที่ต้องแสดงความคิด ทัศนะ ความเข้าใจ ผ่านกระบวนการเรียบเรียงถ้อยคำและตัวอักษรโดยยึดหลักการหรือโครงสร้างทางภาษาในการเขียน หรือเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ทดแทนการเขียนได้ เมื่อผู้เรียนมีครบทั้ง 4 ทักษะ รวมถึงความรู้และความเข้าใจด้านภาษาแล้ว ก็จะสามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนความคิด แสดงทัศนะได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลสมบูรณ์ที่สุด


Learning Log out classroom: สัปดาห์ที่ 2

กลยุทธ์ในการเรียนภาษา

สมศีล ฌานวังศะ
            การสื่อสารจำเป็นต้องอาศัยสัญลักษณ์หรือภาษาเพื่อสื่อความคิด ความเข้าใจ และความรู้สึกซึ่งกันและกัน การสื่อสารจำเป็นต้องอาศัยทั้งสัญลักษณ์และภาษาเพื่อให้เกิดความรู้ คสามเข้าใจที่ตรงกัน ซึ่งความหมายของภาษามีผู้รู้ได้ให้ความหมายลำคำนิยามไว้อย่างหลากหลาย แต่อาจกล่าวได้ว่า ภาษา หมายถึง การวางเงื่อนไขในการสื่อสารของกลุ่มหรือสังคมนั้น ๆ โดยเข้าใจร่วมกันว่าเงื่อนไขหรือรหัสที่กำหนดไว้หมายถึงอะไร ซึ่งใช้สื่อสารความคิด ความเข้าใจและความรู้สึกของผู้สื่อไปยังผู้รับ โดยอาศัยเงื่อนไขที่กำหนดไว้(ภาษา) เป็นเครื่องสื่อความ โดยภาษาต้องประกอบด้วยระบบ ความหมาย และโครงสร้างเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ผู้อยู่ในในกลุ่มหรือสังคมนั้น ๆ จึงต้องเรียนรู้ภาษาซึ่งกันและกัน ในโลกของเรานั้นประกอบด้วยภาษาหลากหลายภาษา ดังนั้นมนุษย์จึงได้กำหนดภาษาหนึ่งเพื่อใช้สำหรับสื่อสาร แลกเปลี่ยนความคิด ตลอดจนการคมนาคมต่าง ๆ นั่นก็คือ ภาษาอังกฤษ จึงทำให้เกิดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อให้สามารถคุยหรือสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ จริงอยู่ว่า “การเรียนภาษาแตกต่างจากการเรียนวิชาอื่น ๆ เป็นส่วนใหญ่ตรงที่ว่ามีสองด้านควบคู่กัน คือ ความรู้และทักษะ ความรู้เป็นภาคทฤษฎี ส่วนทักษะ (หรือความชำนาญที่เกิดจากการฝึกฝน) เป็นภาคปฏิบัติ การเรียนแต่ภาคทฤษฎีโดยไม่ฝึกปฏิบัติ ย่อมไม่อาจทำให้บรรลุเป้าหมายคือสามารถใช้ภาษาได้” ในการเรียนภาษามีองค์ประกอบทั้งสิ้น 10 ประการ ได้แก่ ศึกษา-ฝึกฝน-สังเกต-จดจำ-เลียนแบบ-ดัดแปลง-วิเคราะห์-ค้นคว้า-ใช้งาน-ปรับปรุง ซึ่งผู้เขียนขออธิบายเพียงการศึกษาและการฝึกฝน เพราะเห็นว่าครอบคลุมแล้ว
            1.การศึกษา การเรียนภาษาที่ดีนั้นจะต้องเริ่มจากความรู้เกี่ยวกับตัวภาษาโดยตรงก่อนเสมอ ความรู้เปรียบเสมือนเสาหลัก มีอยู่ด้วยกัน 2 ด้านคือ คำศัพท์และไวยากรณ์ คำศัพท์ คือถ้อยคำที่ใช้แทนความหมาย ส่วนไวยากรณ์คือระเบียบกฎเกณฑ์ว่าด้วยการนำถ้อยคำมาร้อยเรียงประกอบกันเข้าให้เป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้น เพื่อให้สื่อความหมายได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากตัวเนื้อภาษาแล้ว ยังมีความรู้อีก 2 ด้านใหญ่ ๆ ที่ไม่ควรละเลย คือ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษา เช่น ภาษาคืออะไร มีลักษณะอย่างไร จะเรียนรู้ภาษาได้อย่างไร และจะใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้อย่างไร ซึ่งผู้เรียนจะต้องทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษา และความรู้เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาทั้งในเรื่องของสังคม วิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ ศาสนา ศิลปะ วรรณคดี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนภาษาเข้าใจภาษาที่ศึกษาอยู่ได้แจ่มแจ้งลึกซึ้งยิ่งขึ้น และช่วยให้สามารถใช้ภาษาสื่อสารกับเจ้าของภาษาได้อย่างมีประสิทธิผลอีกด้วย แต่การเพียงแค่ทำความเข้าใจหรือเรียนรู้ธรรมชาติของภาษาคงยังไม่พอ เพราะผู้เรียนจะต้องปฏิบัติและฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะที่สามารถเข้าใจและพูดภาษาอังกฤษได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากที่สุด
            2.ฝึกฝน การเรียนรู้ภาษาต้องมี 2 ด้านควบคู่กันเสมอ นั่นคือ ความรู้และทักษะ เป็นที่ทราบกันดีว่าการฝึกฝนทักษะทางภาษาคือการฝึกพฤติกรรมการใช้ภาษาซ้ำแล้วซ้ำอีก จากข้อมูลความรู้ทางภาษาของผู้เรียนจนสามารถสื่อสารได้ถูกต้องและคล่องแคล่วนั่นเอง เป็นไปได้ว่าหากผู้เรียนมีความรู้ด้านเนื้อหาเกี่ยวกับภาษาที่บกพร่องแล้ว ก็จะส่งผลต่อสาะของการสื่อสารด้วย จนทำให้ผู้รับสารไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดกลายเป็นเรื่องอื่นได้แม้ว่าจะใช้ภาษาได้คล่องก็ตาม การฝึกฝนภาษาให้ได้ผลนั้น ผู้เรียนอาจใช้ “อินทรีย์” หลายทางควบคู่กัน คือ ตา-ดู ผู้เรียนอาจอ่านหนังสือหรือข้อความ หรือดูภาพยนตร์ สื่อมัลติมีเดียทางคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ตลอดจน “การสังเกต” อากัปกริยาและสีหน้าท่าทางในระหว่างสนทนา ต่อไปคือ หู-ฟัง ครอบคลุมการฟังทั้ง “เสียง” และ “น้ำเสียง” ของผู้พูด ผู้เรียนอาจสนทนาตัวต่อตัวหรือผ่านโทรศัพท์ ฟังบรรยาย ฟังแถบบันทึกเสียง อาจฟัง “เสียงในฟิล์ม” ของภาพยนตร์ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ หรือสื่อมัลติมีเดียทางคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต หลังจากนั้น ปาก-พูด หมายถึงการออกเสียง การพูด การสนทนา การอ่านออกเสียง และการนำเสนอด้วยวาจา การกล่าวสุนทรพจน์ การบรรยาย และสุดท้ายคือ มือ-เขียน ได้แก่การเขียน และอาจหมายถึงการใช้อุปกรณ์ทดแทนการเขียนด้วยมือ ผู้เรียนภาษาต้องใส่ใจเรื่องระเบียบแบบแผนที่ถูกต้องในการเขียนด้วย
            การเรียนภาษาอังกฤษที่ดีนั้น ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจภาษาในด้านของความหมายหรือลักษณะของภาษา อีกทั้งเรื่องของวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาด้วย เมื่อผู้เรียนนำความรู้ดังกล่าวไปฝึกฝนผ่าน “อินทรีย์” ต่าง ๆ หมั่นฝึกฝน คอยสังเกตพฤติกรรม อากัปกริยา จนกระทั่งจดจำและเลียนแบบเจ้าของภาษาได้ แต่ผู้เรียนจะต้องทำการดัดแปลงพฤติกรรมหรือวัฒนธรรมที่อาจจะขัดหรือไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยด้วย กระทั่งวิเคราะห์จนนำไปสู่การค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อหาข้อบกพร่องหรือปรับปรุง จนสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล องค์ประกอบดังที่ได้กล่าวมาแสดงให้เห็นถึงกระบวนการหรือกลยุทธ์ในการเรียนภาษาอังกฤษที่ดี หากผู้เรียนนำกระบวนการหรือกลยุทธ์นี้ไปเป็นแนวทางหรือหลักการในการปฏิบัติหรือเรียนรู้ภาษาแล้ว และไม่ว่าภาษาใดผู้เรียนก็สามารถที่จะเรียนรู้และสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างคล่องแคล่วและใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากที่สุด 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

.

.