Learning Log in classroom:
สัปดาห์ที่ 2
การเตรียมตัวที่ดีในการเรียนภาษาอังกฤษ
การศึกษาเป็นการสร้างและเพิ่มพูนความรู้และความคิดของบุคคล
ทำให้สามารถดำรงชีวติในสังคมได้อย่างมีความสุข และมีความเจริญก้าวหน้า
สามารถมีส่วนช่วยทำนุบำรุงรักษาสังคมได้ จึงจำเป็นที่ทุกคนจะต้องศึกษาเล่าเรียนให้ต่อเนื่องกันไปตลอดชีวิต
เพราะการศึกษาจะช่วยให้ทุกคนได้พัฒนาตนเองในด้านความรู้ ความคิด สติปัญญา จิตใจ
และความสามารถในการประกอบงานต่อไป
แต่การศึกษาเล่าเรียนจำเป็นที่จะต้องใช้ทักษะต่าง ๆ
ของผู้เรียนเพื่อแสวงหาให้ได้มาซึ่งความรู้
ทั้งนี้ผู้เรียนจะต้องศึกษา ค้นคว้า หรือทำความเข้าใจในส่วนของเนื้อหาหรือทฤษฎี นอกจากนี้แล้วจำเป็นที่ผู้เรียนจะต้องฝึกฝน สังเกต เพื่อฝึกทักษะในส่วนของการปฏิบัติให้คล่องแคล่วและชำนาญ การศึกษาในปัจจุบันมีหลายแขนง หลากหลายสาขาวิชาเรียนให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนตามความสนใจและความถนัด ในที่นี้ผู้เขียนขอนำเสนอการเตรียมตัวที่ดีในการเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหนึ่งที่ทั่วโลกต่างใช้สื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร การคมนาคมหรือการค้า นับได้ว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่เราคนไทยจะต้องเรียนรู้และหมั่นฝึกฝนเพื่อให้สามารถสื่อสารหรือแลกเปลี่ยนความคิดกับชาวต่างชาติได้
ทั้งนี้ผู้เรียนจะต้องศึกษา ค้นคว้า หรือทำความเข้าใจในส่วนของเนื้อหาหรือทฤษฎี นอกจากนี้แล้วจำเป็นที่ผู้เรียนจะต้องฝึกฝน สังเกต เพื่อฝึกทักษะในส่วนของการปฏิบัติให้คล่องแคล่วและชำนาญ การศึกษาในปัจจุบันมีหลายแขนง หลากหลายสาขาวิชาเรียนให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนตามความสนใจและความถนัด ในที่นี้ผู้เขียนขอนำเสนอการเตรียมตัวที่ดีในการเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหนึ่งที่ทั่วโลกต่างใช้สื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร การคมนาคมหรือการค้า นับได้ว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่เราคนไทยจะต้องเรียนรู้และหมั่นฝึกฝนเพื่อให้สามารถสื่อสารหรือแลกเปลี่ยนความคิดกับชาวต่างชาติได้
การเรียนภาษาอังกฤษที่ดี
จำเป็นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษา ความหมาย
หรือลักษณะของภาษา
อีกทั้งหมั่นฝึกฝนเพื่อให้เกิดความคล่องแคล่วและใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากที่สุด
การเรียนหรือทำความเข้าใจแต่เนื้อหาของภาษานั้นไม่ได้ทำให้สามารถใช้หรือสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพมากพอ
ถึงแม้จะรู้หลักโครงสร้างทางไวยากรณ์เป็นอย่างดีก็ตาม
และหากผู้เรียนฝึกฝนภาษาอังกฤษจนคล่องแคล่วแต่ขาดความรู้หรือความเข้าใจในเรื่องของหลักโครงสร้างหรือระเบียบแบบแผนของภาษา
การสื่อสารนั้นย่อมล้มเหลวและขาดประสิทธิผลอย่างแน่นอน
ผู้เรียนจึงต้องศึกษาทั้งทางด้านเนื้อหาและฝึกปฏิบัติควบคู่กันไป
การศึกษานั้นเราสามารถศึกษาได้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ มากมาย แต่การฝึกฝน
เราจะต้องพัฒนาให้ครบทั้ง 4 ทักษะ
นั่นคือ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะกการเขียน
ซึ่งการพัฒนาแต่ละทักษะก็สามารถพัฒนาได้ในรูปแบบที่ต่างกันหรืออาจคล้ายกัน
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ทักษะการฟัง
ผู้เรียนอาจฟังจากสื่อมัลติมีเดีย เช่น เพลง หรือวิทยุ รายการโทรทัศน์
หรือแม้แต่ภาพยนตร์ นอกจากนี้อาจฝึกพูดสื่อสารกับเจ้าของภาษา
แล้วนำมาปรับหรือพัฒนาทักษะการฟังของตนเอง ทักษะต่อไปคือทักษะการพูด
ทักษะนี้อาจเกี่ยวเนื่องมาจากทักษะการฟัง เมื่อผู้เรียนฟังและจดจำอย่างดีแล้ว
ก็จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมมชาติและใกล้เคียงกับเจ้าของภาษาได้เช่นกัน
ทักษะการอ่านเป็นอีกทักษะหนึ่งที่สำคัญในการเรียนรู้ภาษา ผู้เรียนอาจอ่านหนังสือ
หนังสือพิมพ์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษ ตลอดจนสื่อมัลติมีเดียทั้งในคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
ซึ่งทำให้ผู้เรียนได้ทั้งความรู้ ได้สังเกตและเรียนรู้หลักโครงสร้างทางไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษในเวลาเดียวกัน
ทักษะสุดท้ายเป็นทักษะที่สำคัญและต้องใช้เวลาในการฝึกฝนมากที่สุด นั่นก็คือ
ทักษะการเขียน ทักษะการเขียนเป็นทักษะที่ผู้เรียนสามารถเขียนบทความ เรียงความ
หรือแสดงความคิดและประสบการณ์ผ่านตัวอักษรที่ร้องเรียงอย่างถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
ผู้เรียนอาจศึกษาจากสื่อสิ่งพิมพ์ภาษาอังกฤษโดยผ่านทักษะการอ่าน
และเมื่อผู้เขียนต้องการแสดงทัศนะหรือความคิด
ก็สามารถเขียนหรือใช้อุปกรณ์ที่สามารถทดแทนการเขียนด้วยมือได้
ซึ่งผู้เรียนจะต้องให้ความใส่ใจเรื่องระเบียบแบบแผนทางภาษาในการเขียนด้วย
จะเห็นได้ว่า
การเรียนภาษาอังกฤษที่ดีนั้นผู้เรียนจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษา
ความหมาย และลักษณะของภาษา ตลอดจนวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาด้วย
เพื่อการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนและครอบคลุมในด้านภาษา
เมื่อผู้เรียนมีความรู้ละความเข้าใจในด้านนี้แล้ว ผู้เรียนจะต้องนำไปปฏิบัติผ่านกระบวนการต่าง
ๆ ทั้ง 4 ทักษะ นั่นก็คือ ทักษะการฟัง
ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน ทั้งนี้ผู้เรียนจะต้องหมั่นฝึกฝน
โดยอาจฟัง ดู หรืออ่านจากสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น วารสาร หนังสือพิมพ์
สื่อมัลติมีเดียที่มีนคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต รายการโทรทัศน์ เพลง วิทยุ
วิดีโอ หรือภาพยนตร์ หรือผู้เขียนอาจฝึกฝนกับเจ้าของภาษาได้โดยตรงก็ได้
ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า สื่อเหล่าน้มีอยู่มากมาย
ผู้เรียนจึงมีความสะดวกในการเรียนรู้และเรียนรู้ได้ตลอดเวลา
หลังจากนั้นจึงนำไปสู่การเขียนที่ต้องแสดงความคิด ทัศนะ ความเข้าใจ
ผ่านกระบวนการเรียบเรียงถ้อยคำและตัวอักษรโดยยึดหลักการหรือโครงสร้างทางภาษาในการเขียน
หรือเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ทดแทนการเขียนได้ เมื่อผู้เรียนมีครบทั้ง 4 ทักษะ
รวมถึงความรู้และความเข้าใจด้านภาษาแล้ว ก็จะสามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนความคิด
แสดงทัศนะได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลสมบูรณ์ที่สุด
Learning Log out classroom:
สัปดาห์ที่ 2
กลยุทธ์ในการเรียนภาษา
สมศีล ฌานวังศะ
การสื่อสารจำเป็นต้องอาศัยสัญลักษณ์หรือภาษาเพื่อสื่อความคิด
ความเข้าใจ และความรู้สึกซึ่งกันและกัน การสื่อสารจำเป็นต้องอาศัยทั้งสัญลักษณ์และภาษาเพื่อให้เกิดความรู้
คสามเข้าใจที่ตรงกัน
ซึ่งความหมายของภาษามีผู้รู้ได้ให้ความหมายลำคำนิยามไว้อย่างหลากหลาย
แต่อาจกล่าวได้ว่า ภาษา หมายถึง การวางเงื่อนไขในการสื่อสารของกลุ่มหรือสังคมนั้น
ๆ โดยเข้าใจร่วมกันว่าเงื่อนไขหรือรหัสที่กำหนดไว้หมายถึงอะไร
ซึ่งใช้สื่อสารความคิด ความเข้าใจและความรู้สึกของผู้สื่อไปยังผู้รับ
โดยอาศัยเงื่อนไขที่กำหนดไว้(ภาษา) เป็นเครื่องสื่อความ โดยภาษาต้องประกอบด้วยระบบ
ความหมาย และโครงสร้างเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ผู้อยู่ในในกลุ่มหรือสังคมนั้น ๆ
จึงต้องเรียนรู้ภาษาซึ่งกันและกัน ในโลกของเรานั้นประกอบด้วยภาษาหลากหลายภาษา
ดังนั้นมนุษย์จึงได้กำหนดภาษาหนึ่งเพื่อใช้สำหรับสื่อสาร แลกเปลี่ยนความคิด
ตลอดจนการคมนาคมต่าง ๆ นั่นก็คือ ภาษาอังกฤษ
จึงทำให้เกิดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อให้สามารถคุยหรือสื่อสารกับชาวต่างชาติได้
จริงอยู่ว่า “การเรียนภาษาแตกต่างจากการเรียนวิชาอื่น ๆ
เป็นส่วนใหญ่ตรงที่ว่ามีสองด้านควบคู่กัน คือ ความรู้และทักษะ ความรู้เป็นภาคทฤษฎี
ส่วนทักษะ (หรือความชำนาญที่เกิดจากการฝึกฝน) เป็นภาคปฏิบัติ
การเรียนแต่ภาคทฤษฎีโดยไม่ฝึกปฏิบัติ ย่อมไม่อาจทำให้บรรลุเป้าหมายคือสามารถใช้ภาษาได้”
ในการเรียนภาษามีองค์ประกอบทั้งสิ้น 10 ประการ
ได้แก่
ศึกษา-ฝึกฝน-สังเกต-จดจำ-เลียนแบบ-ดัดแปลง-วิเคราะห์-ค้นคว้า-ใช้งาน-ปรับปรุง
ซึ่งผู้เขียนขออธิบายเพียงการศึกษาและการฝึกฝน เพราะเห็นว่าครอบคลุมแล้ว
1.การศึกษา
การเรียนภาษาที่ดีนั้นจะต้องเริ่มจากความรู้เกี่ยวกับตัวภาษาโดยตรงก่อนเสมอ ความรู้เปรียบเสมือนเสาหลัก
มีอยู่ด้วยกัน 2 ด้านคือ
คำศัพท์และไวยากรณ์ คำศัพท์ คือถ้อยคำที่ใช้แทนความหมาย
ส่วนไวยากรณ์คือระเบียบกฎเกณฑ์ว่าด้วยการนำถ้อยคำมาร้อยเรียงประกอบกันเข้าให้เป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้น
เพื่อให้สื่อความหมายได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากตัวเนื้อภาษาแล้ว ยังมีความรู้อีก 2
ด้านใหญ่ ๆ ที่ไม่ควรละเลย คือ
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษา เช่น ภาษาคืออะไร มีลักษณะอย่างไร
จะเรียนรู้ภาษาได้อย่างไร และจะใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้อย่างไร
ซึ่งผู้เรียนจะต้องทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษา และความรู้เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาทั้งในเรื่องของสังคม
วิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ ศาสนา ศิลปะ วรรณคดี เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนภาษาเข้าใจภาษาที่ศึกษาอยู่ได้แจ่มแจ้งลึกซึ้งยิ่งขึ้น
และช่วยให้สามารถใช้ภาษาสื่อสารกับเจ้าของภาษาได้อย่างมีประสิทธิผลอีกด้วย
แต่การเพียงแค่ทำความเข้าใจหรือเรียนรู้ธรรมชาติของภาษาคงยังไม่พอ
เพราะผู้เรียนจะต้องปฏิบัติและฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะที่สามารถเข้าใจและพูดภาษาอังกฤษได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากที่สุด
2.ฝึกฝน การเรียนรู้ภาษาต้องมี 2 ด้านควบคู่กันเสมอ นั่นคือ ความรู้และทักษะ
เป็นที่ทราบกันดีว่าการฝึกฝนทักษะทางภาษาคือการฝึกพฤติกรรมการใช้ภาษาซ้ำแล้วซ้ำอีก
จากข้อมูลความรู้ทางภาษาของผู้เรียนจนสามารถสื่อสารได้ถูกต้องและคล่องแคล่วนั่นเอง
เป็นไปได้ว่าหากผู้เรียนมีความรู้ด้านเนื้อหาเกี่ยวกับภาษาที่บกพร่องแล้ว
ก็จะส่งผลต่อสาะของการสื่อสารด้วย
จนทำให้ผู้รับสารไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดกลายเป็นเรื่องอื่นได้แม้ว่าจะใช้ภาษาได้คล่องก็ตาม
การฝึกฝนภาษาให้ได้ผลนั้น ผู้เรียนอาจใช้ “อินทรีย์” หลายทางควบคู่กัน คือ ตา-ดู
ผู้เรียนอาจอ่านหนังสือหรือข้อความ หรือดูภาพยนตร์ สื่อมัลติมีเดียทางคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
ตลอดจน “การสังเกต” อากัปกริยาและสีหน้าท่าทางในระหว่างสนทนา ต่อไปคือ หู-ฟัง
ครอบคลุมการฟังทั้ง “เสียง” และ “น้ำเสียง” ของผู้พูด
ผู้เรียนอาจสนทนาตัวต่อตัวหรือผ่านโทรศัพท์ ฟังบรรยาย ฟังแถบบันทึกเสียง อาจฟัง
“เสียงในฟิล์ม” ของภาพยนตร์ โทรทัศน์ วีดิทัศน์
หรือสื่อมัลติมีเดียทางคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต หลังจากนั้น ปาก-พูด
หมายถึงการออกเสียง การพูด การสนทนา การอ่านออกเสียง และการนำเสนอด้วยวาจา
การกล่าวสุนทรพจน์ การบรรยาย และสุดท้ายคือ มือ-เขียน ได้แก่การเขียน
และอาจหมายถึงการใช้อุปกรณ์ทดแทนการเขียนด้วยมือ
ผู้เรียนภาษาต้องใส่ใจเรื่องระเบียบแบบแผนที่ถูกต้องในการเขียนด้วย
การเรียนภาษาอังกฤษที่ดีนั้น
ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจภาษาในด้านของความหมายหรือลักษณะของภาษา
อีกทั้งเรื่องของวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาด้วย เมื่อผู้เรียนนำความรู้ดังกล่าวไปฝึกฝนผ่าน
“อินทรีย์” ต่าง ๆ หมั่นฝึกฝน คอยสังเกตพฤติกรรม อากัปกริยา
จนกระทั่งจดจำและเลียนแบบเจ้าของภาษาได้
แต่ผู้เรียนจะต้องทำการดัดแปลงพฤติกรรมหรือวัฒนธรรมที่อาจจะขัดหรือไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยด้วย
กระทั่งวิเคราะห์จนนำไปสู่การค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อหาข้อบกพร่องหรือปรับปรุง
จนสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
องค์ประกอบดังที่ได้กล่าวมาแสดงให้เห็นถึงกระบวนการหรือกลยุทธ์ในการเรียนภาษาอังกฤษที่ดี
หากผู้เรียนนำกระบวนการหรือกลยุทธ์นี้ไปเป็นแนวทางหรือหลักการในการปฏิบัติหรือเรียนรู้ภาษาแล้ว
และไม่ว่าภาษาใดผู้เรียนก็สามารถที่จะเรียนรู้และสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างคล่องแคล่วและใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น