.

.

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log: สัปดาห์ที่ 7

Learning Log in classroom: สัปดาห์ที่ 7

คุณลักษณะขอครูที่ดีในยุคโลกาภิวัตน์

ปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัตน์หรือยุคโลกไร้พรมแดน เป็นยุคของข้อมูลข่าวสารที่มนุษย์สามารถติดต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ครูจำเป็นที่จะต้องศึกษาหาความรู้จากแหล่งอื่น ๆ เพิ่มเติมอยู่เสมอ เช่น ในอินเทอร์เน็ต ซึ่งถือว่าเป็นห้องสมุดอีกแหล่งหนึ่งที่สามารถค้นคว้าหาข้อมูลข่าวสารได้แทบไม่หวั่นไม่ไหว ทั้งนี้เพื่อให้ครูมีความรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบัน เพราะครูเป็นบุคคลที่สำคัญบุคคลแรกที่จะช่วยสร้างคน สร้างชาติ ยิ่งสังคมยุคใหม่ที่พ่อแม่ต้องดิ้นรนทำมาหากิน ส่งผลให้เวลาดูแลลูก ๆ น้อยลงไปด้วย ครูจึงต้องทำงานหนักขึ้นอีกหลายเท่า
นอกจากจะสอนหนังสือแล้วครูต้องเป็นพ่อแม่คนที่ 2 ซึ่งคอยอบรมสั่งสอน ประคับประคองให้เด็กเติบโตและสามารถเป็นกำลังสำคัญของประเทศในวันข้างหน้า ซึ่งครูจะต้องมีความรู้ คุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงาม มีเทคนิคหรือวิธีการสอนที่ถูกต้องและเหมาะสม ดังนั้น หากพิจารณาถึง “คุณลักษณะที่สำคัญ ๆ ของครูที่ดีในยุคโลกาภิวัตน์” อาจพิจารณาจากหัวข้อต่อไปนี้
1.รู้ดี คุณลักษณะประการแรกของบุคคลที่เป็นครูทุกคน คือ ต้องมีความรู้ดี การมีความรู้ดได้แก่ ความรู้ในเนื้อหาที่จะสอน ความรู้ในจิตวิทยาการเรียนการสอน ความรู้ในหลักกการสอน และความรู้เรื่องข่าวสารบ้านเมือง ครูผู้สอนจึงมีความชัดเจนในด้านเนื้อหาหรือเรื่องที่จะสอนในศาสตร์ของตน เช่น หากเป็นครูภาษาอังกฤษจะต้องมีความเชี่ยวชาญด้านคำศัพท์ ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ หรือสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ ซึ่งการที่ครูมีความรู้ด้านจิตวิทยาการเรียนการสอนนั้น จะทำให้ครูเข้าใจธรรมชาติและสาเหตุของพฤติกรรมของผู้เรียนได้มากขึ้น และสามารถแก้ปัญหาหรือสร้างแรงจูงใจและแรงเสริมให้ผู้เรียนได้ ยิ่งผู้สอนมีหลักการสอนที่ดี ผู้เรียนก็ย่อมสามารถบรรลุผลหรือเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ได้ดีเช่นกัน นอกจากจะมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ของตนหรือมีเคล็ดลับกลวิธีการสอนแล้ว ครูจำเป็นที่จะต้องบูรณาการเรื่องที่สอนกับเหตุกการณ์บ้านเมืองหรือสังคมที่เกิดขึ้นได้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตประจำวันหรือสถานการณ์ที่จำเป็นได้
2.สอนดี ความสามารถในการสอนจะบังเกิดหรือมีขึ้นได้จำเป็นที่จะต้องอาศัยองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างที่สำคัญ เช่น รู้หลักการสอน รู้จักสภาพแวดล้อมทางบ้านของเด็กและมีบุคลิกภาพที่เหมาะสม สำหรับการสอนดีมีลักษณะอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้รับ คือ นักเรียน กล่าวคือนักเรียนบางกลุ่มหรือบางคนชอบครูที่พูดสนุก โดยไม่คำนึงถึงสาระที่จะได้รับ ตรงกันข้ามนักเรียนบางกลุ่มบางคนอาจจะชอบครูที่เอาจริงเอาจังกับการสอน หรือบางคนชอบครูที่สอนสนุกแต่ได้สาระ แต่การสอนที่ดีนั้นจะต้องสะท้อนถึงสิ่งที่สอนได้อย่างชัดเจน ซึ่งครูจะต้องมีความชัดเจนในการชี้แจงหรือการอธิบายเนื้อหาให้ครอบคลุมและกระชับ สอนแล้วนักเรียนอยากปฏิบัติตาม ซึ่งครูจะต้องสร้างแรงจูงใจหรือเสริมแรงให้ผู้เรียนปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมออกมา สอนแล้วนักเรียนเกิดความกล้าที่จะกระทำ เนื่องจากสิ่งที่ครูสอนเป็นสิ่งที่ดีและเกิดประโยชน์ก่อให้เกิดคุณค่าขึ้นในจิตใจของผู้เรียน อีกทั้งนักเรียนมีความร่าเริงกับการได้เรียน ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการจดจำและเรียนรู้ได้ดี
3.มีวิสัยทัศน์ ครูในยุคโลกาภิวัตน์นั้นต้องเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ กล่าวคือ มองการณ์ไกลใช้ปัญญาหรือมีความสามารถนารมองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ครูจะต้องปรับความคิดของตัวเองให้กว้างขึ้น คิดให้ไกลขึ้น เพื่อพัฒนาความคิดของตัวเองให้ทันต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นในอนาคต จำเป็นอย่างยิ่งที่ครูจะต้องพัฒนาตนเองเพื่อให้รอบรู้และทันต่อเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งมีแนวคิดที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่แตกต่างกันได้ นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการหรือสภาพปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการสอน ดังนั้น การที่ครูเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและมองทุกสิ่งทุกอย่างอย่างใช้ปัญญานั้น ย่อมเกิดการพัฒนาในสังคมแห่งการศึกษาอย่างแน่นอน
4.เจนจัดฝึกฝนศิษย์ การมีความรู้ดี สอนดี มีวิสัยทัศน์ดี แต่ไม่เจนจัดฝึกฝนศิษย์ก็ยังไม่สามารถเป็นครูที่ดีได้ ทั้งนี้เพราะการสอนคนให้มีความรู้ในศิลปะวิชาการต่าง ๆ นั้น จำเป็นที่ครูจะต้องฝึกฝนศิษย์ให้มีความสามารถ และเกิดความคล่องแคล่วและชำนาญในศาสตร์วิชานั้น โดยฝึกให้ผู้เรียนได้ลองทำ ฝึกปฏิบัติในทักษะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ เช่น วิชาภาษาอังกฤษ ครูจะต้องให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะภาษาอังกฤษที่จำเป็นทั้ง 4 ทักษะ นั่นคือ ทักษะการฟัง ครูจะต้องฝึกให้ผู้เรียนสามารถฟังแล้วเข้าใจความหมายหรือแก่นเรื่องที่ฟังได้ สามารถตีความออกมาเป็นภาษาหรือคำพูดของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ได้ ทักษะการพูด ครูจะต้องฝึกให้ผู้เรียนสามารถพูด สื่อสาร แสดงความคิดเห็นหรืออภิปรายเป็นภาษาอังกฤษได้ พูดแล้วสามารถจับใจความสำคัญจากสิ่งที่พูดได้ ทักษะการอ่าน ครูต้องฝึกให้ผู้เรียนสามารถอ่านเนื้อหา บทความ หรือเรื่องราวต่าง ๆทั้งจากสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ยังสามารถจับใจความหรือประเด็นสำคัญของเรื่องได้ ทักษะสุดท้าย คือ ทักษะการเขียน ครูต้องฝึกผู้เรียนให้สามารถเขียนหรือแสดงความคิดเห็นโดยเรียบเรียงคำหรือประโยคที่มีความถูกต้องทางไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ มีใจความหรือประเด็นที่สำคัญ ตอดจนข้อคิดหรือสาระที่ผู้อ่านสามารถที่จะซาบซึ้งและเห็นคุณค่าของงานเขียนชิ้นนั้น
5.ดวงจิตใฝ่คุณธรรม การเจนจัดในการฝึกอบรมศิษย์ให้เป็นคนดีมีคุณธรรมจะไร้ผลถ้าหากผู้ที่ทำหน้าที่ในการฝึกอบรมหรือครูเป็นผู้ที่ไร้คุณธรรมเสียเอง ทั้งนี้เพราะการจะสั่งสอนให้ผู้ใดเป็นอย่างนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนจะต้องกระทำตนให้เป็นตัวอย่างเสียก่อน ดังที่ว่า “ถ้าพร่ำสอนผู้อื่นฉันใด ก็ควรทำตนฉันนั้น” ครูจึงต้องมีคุณธรรมในใจ และถ่ายทอดออกมาเป็นพฤติกรรมหรือจริยธรรมที่ผู้เรียนสามารถลอกเลียนแบบหรือปฏิบัติตามและเอาเยี่ยงอย่างได้ เพราะตัวอย่างนั้นสำคัญกว่าทฤษฎีคำสอนหรือสิ่งอื่นใด ถ้าหากครูมีคุณธรรมจริยธรรมที่ดี ลูกศิษย์หรือผู้เรียนก็จะมีคุณธรรมและจริยธรรมไปด้วย ในทางตรงกันข้ามหากครูไม่มีคุณธรรมหรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะไม่ควร ผู้เรียนก็จะเอาเยี่ยงอย่างเพราะคิดว่า ถ้าผู้ใหญ่ทำได้ เราก็ทำได้ ดังนั้นครูที่ดีจึงต้องเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้เรียนหรือเยาวชนเพื่อเป็นมนุษย์ที่มีความรู้คู่คุณธรรมในสังคมไทยต่อไป
6.งานเลิศล้ำด้วยจรรยา จรรยา แปลว่า ความประพฤติหรือกริยาอาการที่ควรประพฤติปฏิบัติ ครูที่ดีต้องงามด้วยความประพฤติหรืองามด้วยกริยาของความเป็นครู สำหรับจรรยามารยาทที่ครูไทยควรตระหนักและใส่ใจฝึกฝนมีอยู่ 2 นัย คือ 1. จรรยามารยาทแบบไทย ซึ่งได้แก่การปฏิบัติตามมารยาทไทยให้ถูกต้องเหมาะสม 2. จรรยาวิชาชีพ หรือจรรยาบรรณ ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์มาตรฐานประการหนึ่งของอาชีพชั้นสูงหรือวิชาชีพ ครูที่ดีจึงต้องเปี่ยมไปด้วยจรรยามารยาทที่งดงาม และสื่อถึงความเป็นไทยได้อย่างอ่อนช้อยและเป็นเอกลักษณ์ พร้อมทั้งปฏิบัติตามจรรยาวิชาชีพหรือจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการประกอบอาชีพครู ดังนั้น ผู้เป็นครูจึงต้องปฏิบัติตามจรรยามารยาทไทยและจรรยาวิชาชีพหรือจรรยาบรรณความเป็นครูอย่างเคร่งครัด เพื่อความงดงาม เป็นเอกลักษณ์ ข้อปฏิบัติ และสะท้อนถึงความเป็นไทยได้อย่างอ่อนช้อย
7. มีศรัทธาความเป็นครู การมีศรัทธาในความเป็นครูเป็นอีกคุณลักษณะหนึ่งที่ช่วยค้ำจุนให้ผู้ประกอบวิชาชีพมีความเป็นครูที่สมบูรณ์ขึ้น ครูที่มีศรัทธาในความเป็นครูจะมีพฤติกรรมหลักคือ เห็นความสำคัญของวิชาชีพครูและรักษาชื่อเสียงของวิชาชีพครูอยู่เสมอ ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่การงาน รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือกิจการของเพื่อนร่วมวิชาชีพเดียวกัน รักในการสอนมากกว่าการทำงานอย่างอื่น หากครูในสังคมไทยของเรามีศรัทธาในวิชาชีพแล้ว ประเทศของเราย่อมมีบุคคลหรือเยาวชนมากพอที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน เนื่องจากทุกคนต่างรู้หน้าที่ของตนและปฏิบัติตามหน้าที่นั้นอย่างเต็มใจ ดังนั้น ครูทุกคนควรมีศรัทธาในวิชาชีพของตน เพื่อปฏิบัติตามหน้าที่ขอตนและพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
จากคุณธรรมดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนมีความเชื่ออเหลือเกินว่าหากครูท่านใดมีคุณธรรมครบทุกข้อ ย่อมสามารถเป็นครูที่ดีในยุคโลกาภิวัตน์นี้ได้อย่างแน่นอน เพราะมีทั้งความรู้ รูปแบบการสอนที่ดี มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล พร้อมทั้งฝึกฝนศิษย์ให้สามารถฝึกทักษะต่าง ๆ จนคล่องได้ มีจิตที่ใฝ่คุณธรรมและจริยธรรมอยู่เสมอ ประกอบด้วยจรรยามารยาทที่งดงามของไทยและปฏิบัติตามจรรยาวิชาชีพหรือจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัด และสิ่งที่สำคัญก็คือการมีศรัทธาในความเป็นครู ถ้าขาดคุณลักษณะในข้อนี้แล้ว แน่นอนว่าประเทศของเราย่อมไม่มีการพัฒนาและเจริญได้ และการที่ประเทศของเราจะพัฒนาหรือเจริญรุ่งเรืองนั้น จำเป็นที่ครูจะต้องพัฒนาตนเองเพื่อให้เกิดคุณลักษณะตามที่ได้กล่าวมา และพร้อมที่จะพัฒนาเยาวชนและลูกหลานให้เติบโตเพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศในวันข้างหน้า


Learning Log out classroom: สัปดาห์ที่ 7

เคล็ดลับการฟังภาษาอังกฤษอย่างไรให้เข้าหู

            ปกติแล้วเราสามารอ่านและเขียนภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี แต่กลับฟังคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ หรือตีความหมายผิดหรือเพี้ยนไปจากต้นฉบับไม่เหมือนกับที่ผู้พูดสื่อสารมา ปัญหาดังกล่าวถือเป็นเรื่องธรรมดาของการเรียนภาษา ไม่ว่าภาษานั้นจะเป็นภาษาใดก็ตาม เพราะเมื่อภาษาได้ถูกแปลงจากการเรียนเป็นการพูดแล้ว ย่อมมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีกมากมายที่ส่งผลให้ประสิทธิภาพของการฟังลดลง ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงของผู้พูดที่มีเป็นร้อยเป็นพันน้ำเสียง หรือสำเนียงการพูดที่แตกต่างกัน การรวมคำให้กระชับ ประโยคแสลง และอีกหลาย ๆ ปัจจัยที่ส่งผลให้การฟังดูยุ่งยาก สุดท้ายแล้วเราก็จะเกิดอาการเบื่อและไม่อยากฟัง ลักษณะเช่นนี้เราสามารถฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษของเราด้วยวิธีหรือเคล็ดลับดี ๆ ได้ แต่ก่อนอื่นเราจะต้องตั้งกฎหรือบอกกับตัวเองว่า “ฝึกฟังภาษาอังกฤษจากเรื่องที่ง่ายไปหาเรื่องที่ยาก” แน่นอนว่าถ้าในช่วงแรก ๆ ของการฝึก เราเลือกฟังเช่น ข่าวที่ยาว ๆ และยาก ซึ่งมีคำศัพท์แปลก ๆ หรือไม่คุ้นหูอยู่เต็มไปหมด เมื่อเราฟังแล้วก็จะไม่เข้าใจ และอาจเกิดท้อหรือเบื่อขึ้นมาได้ ดังนั้นเราจึงควรเริ่มจากฟังอะไรที่สั้น ๆ ง่าย ๆ ที่เขาพูดช้าให้เข้าใจเสียก่อน และฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป
            วิธีหรือเคล็ดลับการฝึกฟังภาษาอังกฤษอาจทำได้โดย ในตอนแรกอาจฟังรอบแรกรวดเดียวจบ โดยไม่ดูบทความที่แนบมากับคลิปเสียง สูดหายใจลึก ๆ หามุมที่นั่นสบาย ๆ ผ่อนคลาย และไม่ต้องไปกังวลว่าจะฟังไม่เข้าใจ ต่อไปจึงฟังอีกครั้งเพื่อเก็บรายละเอียดเพิ่มเติม แล้วฟังและหยุดคลิปทุก ๆ 5 วินาที ลองอ่านโน้ตย่อ ๆ ของเราดูว่า เราพอจะจับคอนเซ็ปหรือใจความหลักของเรื่องที่ฟังได้หรือไม่ว่าในคลิปเสีงหรือวีดิโอที่เราฟังนั้นกำลังพูดถึงอะไร การฝึกในเบื้องต้นเราไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกคำพูด แค่พอเข้าใจบ้างก็ถือว่าใช้ได้แล้ว หลังจากนั้นปฏิบัติเหมือนเดิม แต่พยายามเติมคำศัพท์ลงไปให้มากขึ้น และแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ จากการเขียนครั้งแรก แล้วจึงเขียนเรียบเรียงข้อมูลให้เป็นประโยค ลองใช้ความรู้ด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษปะติดปะต่อคำและวลีต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และเก็บโน้ตชิ้นแรกออกไป เริ่มฟังคลิปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ให้หยุดคลิปทุก ๆ 10 วินาที แล้วเขียนสิ่งที่ได้ยินออกมาเหมือนเดิม จากนั้นจึงลองนำมาเปรียงเทียบกับโน้ตย่อชิ้นเก่าและลองฟังคลิปเสียงอีกครั้ง โดยอ่านโน้ตย่อของตัวเองตามไปด้วย หลังจากนั้นเปรียบเทียบโน้ตย่อกับบทความจริงที่ถูกต้อง ถ้าพบว่ามีคำผิดเยอะต้องวิเคราะห์ดูว่า ปัญหาในการฟังภาษาอังกฤษของเราเกิดจากอะไร บางคนอาจฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ และออกเสียงไม่ถูกต้อง ไม่รู้จักคำศัพท์ หรือมีปัญหากับเสียงหนัก เสียงเบา การเชื่อมคำ การรวบประโยคซึ่งเราก็ต้องลองแก้ปัญหาเป็นจุด ๆ ไป สุดท้ายฟังคลิปไปพร้อม ๆ กับการอ่านบทความที่ถูกต้อง เพื่อตรวจสอบดูว่าส่วนไหนบ้างที่เราพลาดไป จากนั้นจึงลองกลับมาฟังรอบสุดท้ายแบบไม่อ่านโน้ตและบทสนทนาตามเลย ซึ่งในขั้นนี้เราควรจะเข้าใจเรื่องราวในคลิปหรือวิดีโอได้มากขึ้นแล้ว แต่การเลือกคลิปเสียงที่เราสนใจจะช่วยกระตุ้นความสนใจให้เราอยากฝึกฝนมากขึ้น
            ทักษะการฟังไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการฝึกฝน ทำซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง โดยอาจฟังแต่ละครั้งไม่กี่นาทีแต่เน้นการฟังบ่อย ๆ ซึ่งจะได้ผลดีกว่าการฟังแต่ละครั้งเป็นชั่วโมง การฝึกที่ว่านี้อาจฝึกสัปดาห์ละหนึ่งเรื่องก็ได้ ถ้าหากเราเริ่มรู้สึกว่าทักษะของเราพัฒนาขึ้นแล้ว ระหว่างฟังเราจฝึกพูดไปด้วยก็ได้ การพูดตามจะช่วยทำให้เราเพ่งเล็งหรือให้ความสนใจกับสิ่งที่ฟังมากขึ้น และยังเป็นการตรวจสอบให้มั่นใจว่าสิ่งที่เราได้ยินนั้นถูกต้องมากยิ่งขึ้นด้วย ระยะเวลาในการฝึกฝนทักษะเพื่อเพิ่มความสามารถของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางคนอาจใช้เวลาเป็นเดือน หรือบางคนอาจใช้เวลาเป็นปี ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับรู้และความมุ่งมั่นของแต่ละคน การเรียนภาษาไม่มีทางลัด มีเพียงการฝึกฝนเท่านั้นที่จะทำให้เราเก่งขึ้นได้ ยิ่งถ้าหากใครมีความฝันที่จะเรียนต่างประเทศด้วยแล้ว ก็ต้องยิ่งฝึกฝนเพิ่มมากขึ้น ผลของความพยายามอย่างสุดความสามารถจะตอบแทนเราอย่างคุ้มค่าอย่างแน่นอน       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

.

.