Learning Log in classroom:
สัปดาห์ที่ 8
If-Sentence
If-sentence
หรือ Conditional Sentence (ประโยคเอนไข) หมายถึง
“ประโยคที่ผู้พูดสมมติหรือคาดการณ์ขึ้นมาว่า ถ้ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว
ก็จะมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นตามมา”
ประโยคที่แสดงเงื่อนไข
ได้แก่ ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย if (หรือคำที่มีความหมายเหมือน
if) จึงนิยมเรียกประโยคเงื่อนไขว่า ประโยค
if (if-sentence)
ประโยคเงื่อนไขนั้นประกอบด้วย
2 ส่วน (2 clauses) นั่นคือ ส่วนที่เป็นเหตุหรือส่วนที่อยู่ข้างหลัง if เรียกว่า if-clause
และส่วนที่เป็นผลหรือส่วนที่เหลือเรียกว่า
main clause หรือ principal
clause (คือ ประโยคใหญ่หรือประโยคหลัก) เช่น
If-clause Main
clause
If water boils, it
changes into steam.
If he hurried, he
would be in time.
If I were you, I
wouldn’t love him.
If he had tried hard, he
would have succeeded.
ควรสังเกตว่า
ถ้าวางคำเชื่อม (if)
ไว้ต้นประโยค จะต้องมี comma คั่นประโยค if ไว้ แต่ถ้าวาง if ไว้กลางประโยคก็ไม่ต้องมี
comma เช่น
1.He would be
in time if he hurried.
= If he hurried, he would be in time.
2.He
would have succeeded if he had tried hard.
= If he had tried hard, he would have succeeded.
ประโยคเงื่อนไข (Conditional
sentence) ได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 พวกใหญ่ ๆ คือ
1.เงื่อนไขที่เป็นจริงเสมอ (Factual)
หมายความว่า ถ้ามีเหตุการณ์หรือการกรำเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว
เหตุการณ์เช่นนั้นก็จะเกิดขึ้นตามมาทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น เช่น
ถ้าน้ำเดือด
มันก็กลายเป็นไอ
ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์
โลกก็จะมืด
ที่กล่าวมานี้เนื้อความมีลักษณะเป็นเหตุเป็นผลกันและกัน
จะขาดเสียส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้
และรูปกริยาของประโยคเงื่อนไขที่เป็นจริงเสมอนี้มีอยู่ 3 รูปแบบ คือ
แบบที่
1: If
+ Present, + Present
S +
V.1, S + V.1
เช่น
If water boils, it changes
into steam.
If
you add 3 to 4, you get 7.
If
the sun doesn’t shine, all animals die.
If
you hurt a dog, it bites you.
If
my dog sees a stranger, it barks out loud.
ข้อความที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
ถือได้ว่าเป็นความจริงเสมอ หรือถือเป็นกฎตายตัวได้ว่า เมื่อเหตุการณ์แรกเกิดขึ้น
เหตุการณ์ที่สองก็จะเกิดขึ้นตามมาทันที
ในกรณีที่ไม่ต้องการให้แน่นหนัก
อาจใช้ future แทน present ในประโยคหลังได้ มีความหมายเหมือนกันทุกประการ
เพียงแต่ลดความหนักแน่นจริงจังลงบ้างเท่านั้น
แบบที่ 2: If +
Present,
+ Future
S +
V.1 S + will +
V.1
เช่น If water boils, it will
changes into steam.
If you add 3 to 4, you will
get 7.
If the sun doesn’t
shine, all animals will die.
If
you hurt a dog, it will bites
you.
If
my dog sees a stranger, it will barks out loud.
หมายเหตุ: รูปกริยา Present
หมายความว่าจะเป็น Present แบบไหนก็ได้ เช่น Present simple, Present
continuous, Present perfect ได้ทั้งนั้น
แล้วแต่จความที่ผู้พูดต้องการพูดเป็นหลัก และ Future ก็เช่นกัน จะเป็น Future
แบบไหนได้ทั้งนั้นแล้วแต่ความหมาย เช่น
If my dog has seen a
stranger, it will give barks.
If he begins
early morning, he will have finished by noon.
If my buffalo is
drinking water, it will lower its head.
If he is ill, he goes
to see a doctor.
แบบที่ 3: If +
Present,
Imperative
เช่น If you see him, tell him to visit me.
Don’t smoke a cigarette if you are
sick.
If he comes, don’t let him get in.
If she goes there, please take
her to have sight-seeing many things interesting.
อนึ่ง
กริยาซึ่งเป็นผลของเงื่อนไขที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต (Future)
นั้น นอกจากจะใช้ will, shall แล้ว
เรายังสามารถใช้กริยาตัวอื่นซึ่งเทียบเท่า will, shall ได้อีกคือ can, may, must, should
(ควรจะ), have
to, ought to เช่น
If-Present + Future (ที่เทียบเท่ากันได้)
เช่น
must
must
If you go out tonight, you ought to put
a coat on.
should
have to
If he comes, I can
speak to him.
2.เงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้ (Impossible
Proposition) หมายถึง เงื่อนไขที่ไม่อาจเกิดขี้นได้
หรือไม่อาจเป็นไปได้ทั้งปัจจุบันแอนาคต
เป็นเรื่องที่ผู้พูดสมมติหรือตั้งเงื่อนไขลม ๆ แล้ง ๆ ขึ้นมาเท่านั้นเอง
รูปกริยาของเงื่อนไขนี้มีรูปเดียว คือ
If +
Past
simple, + Future in the past
S +
V.2, S +
would
+ V.1
เช่น If I were a bird, I would
be very happy.
If we had two suns, we would
have hotter weather.
If I had wings, I would
fly to you.
หมายเหตุ:
เฉพาะ Verb to be ที่นำมาใช้กับการสมมติในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
หรือในเงื่อนไขที่เป็นไม่ได้น้ ให้ใช้ were รูปเดียว
ไม่ว่าประธานจะเป็นบุรุษหรือพจน์อะไรก็ตาม
อนึ่ง กริยาช่วยในประโยค Main clause
(คือประโยคที่ตามหลัง If-clause) นอกจากจะใช้ would
(หรือ should)
แล้ว ยังสามารถใช้กริยาช่วยตัวอื่นได้อีก คือ might, could แต่ความหมายแตกต่างกันเล็กน้อย
นั่นคือ
would, should ใช้กับผลที่จะเกิดขึ้นตามสมมติ
(Certain result)
might ใช้กับการคาดคะเน
(Possibility)
could ใช้กับการกอนุญาตหรือความสามารถ
(Permission or ability)
เช่น If she came, I should see her.
(จะพบ)
If she came, I might
see her. (คงจะได้พบ)
If it stopped
snowing, you could go out. (สามารออกไปได้)
3.เงื่อนไขที่ตรงข้ามกับความจริง (Fact-contrary
Proposition) การสมมติในเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต
และผู้พูดก็มราบดีว่าเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร แต่ผู้พูดก็นำมาพูดสมมติใหม่
คือสมมติให้ตรงกันข้ามกับความจริงที่เกิดขึ้น รูปกริยาเงื่อนไขนี้ใช้
If + Past perfect,
+ would have +
กริยาช่องที่ 3
S +
had +
V.3, S +
would
have +
V.3
เช่น If I had been
here yesterday,
I would have killed him.
If I had killed him
yesterday, I would have been arrested.
If I had seen her last year,
I would have married her.
อนึ่ง
ถ้าผู้พูดต้องการให้มีความหมายถึงความต่อเนื่องจากอดีตมาถึงปัจจุบันก็อาจใช้ Past perfect continuous
ใน If-sentence ได้
เช่น
If he had been listening
carefully, he wouldn’t have misunderstood.
ประโยคเงื่อนไขที่ไม่มี
“If”
ในประโยค
If-clause หรือ
If-sentence เอาจาจจะใช้คำอื่นแทน
if
ได้ ทั้งนี้โดยตัด if ทิ้งเสีย คำที่นำมาใช้แทน if
ที่นิยมใช้กันมากมีอยู่ 3 คำคือ should, were และ had
เมื่อนำคำทั้ง 3
นี้ขึ้นไปใช้ต้นประโยคแทนตำแหน่ง if แล้ว ก็จะทำให้ดูเหมือนว่า
ข้อความนี้เป็นประโยคคำถาม แต่ความจริงไม่ใช่
เช่น should: Should you
see Katty, tell her I want to visit.
= If you
see Katty, tell her I want to visit.
หมายเหตุ:
ประโยคที่ใช้
should
แทน if
นี้นิยมภาษาเขียนมากกว่าภาษาพูด แต่ความหมายเหมือนกัน
were to: Were they to go, I would
give them money.
= If they went, I would give them money.
หรือ If they were to go.
I would give
them money.
หมายเหตุ:
ประโยคเงื่อนไขตามลักษณะดังกล่าวนี้
จะใช้ were
เท่านั้นแทน if
และนิยมภาษาเขียนมากกว่าพูดเช่นกัน
had: Had I know her address, I would have visited
here.
= If I had known her address, I would have visited
here.
คำที่ใช้แทน
If
หรือเทียบเท่ากับ If
Unless
=
ถ้า...ไม่ (if…not), เว้นแต่,
นอกจาก เช่น
Unless there is some rain, the
flowers will die.
= If there is no rain, the flowers will die.
You will fail unless
you study harder.
= You will fail if you don’t study harder.
Peter will miss the
bus unless he runs.
= Peter will miss the bus if he doesn’t run.
Even if =
แม้ว่า
เช่น
Even if I had no money, I wouldn’t borrow any from my friends.
Marry never hurries even
if she is very late.
Learning Log out classroom:
สัปดาห์ที่ 8
วิธีพัฒนาทักษะการเขียน
จากการสำรวจพบว่า
ทักษะภาษาอังกฤษที่มีปัญหาและมีความยากมากที่สุดก็คือ ทักษะการเขียน
เพราะการฟังสามารถอาศัยสีหน้าหรือท่าทางของผู้พูดเพื่อประกอบความเข้าใจได้ การพูดยังสามารถใช้ภาษามือเพื่อช่วยให้เข้าใจได้เช่นกัน
ส่วนการอ่านสามารถใช้เวลาในการทำความเข้าใจได้
แต่สำหรับการเขียนแล้วถือเป็นเรื่องยากเพราะจะต้องมีความกังวลในเรื่องของหลักโครงสร้างทางไวยากรณ์
คำศัพท์ และหลักการเขียนอื่น ๆ อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากความแตกต่างทางด้านโครงสร้างทางภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
เป็นต้นว่า การเรียงลำดับของคำในประโยคภาษาอังกฤษนั้นย่อมแตกต่างจากภาษาไทย
ยิ่งในส่วนของประโยคคำถามแล้ว
ในภาษาอังกฤษจำเป็นที่จะต้องนำคำกริยามาไว้หน้าประธานหรือต้นประโยคทั้งที่ในภาษาไทยไม่มี
และเมื่อมีตัวขยายที่ซับซ้อนมากขึ้น ก็ยิ่งสร้างความสับสนต่อผู้เรียนมากขึ้นด้วย
ต่อมาในเรื่องกาลหรือเวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน
หรืออนาคต ภาษาไทยก็ยังคงใช้คำเดิม เช่น กิน
แต่สำหรับภาษาอังกฤษแล้วเวลาหรือกาลถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเป็นตัวที่จะทำให้ผู้พูดรู้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดข้นในช่วงใดหรือเวลาใด
และยังมีการเติม –s, -es
เมื่อประธานเป็นเอกพจน์อีกด้วย
ซึ่งภาษาไทยไม่มี
ในภาษาไทยเราไม่ค่อยพบหรือเจอกับเครื่องหมายวรรคตอนหรือเครื่องหมายอื่น ๆ
ได้บ่อยมาก ซึ่งต่างจากภาษาอังกฤษที่พบเครื่องหมายได้บ่อยแทบทุกบรรทัด
นอกจากนั้นแล้วเรายังต้องศึกษาเรื่องวัฒนธรรมของภาษาอังกฤษด้วย
เพราะในภาษาอังกฤษนั้นจะมีคำหรือสำนวนที่ไม่เหมือนกันกับของภาษาไทย
บางประโยคมีรูปเป็นแบบหนึ่ง แต่ความหมายอาจเป็นอย่างอื่นก็เป็นได้
ผู้เขียนจึงขอยกวิธีพัฒนาทักษะการเขียนเพื่อการเขียนที่ดีและมีคุณธรรม ดังนี้
วิธีที่ดีที่สุดในการฝึกทักษะภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเป็นทักษะใดก็ตามคือ
การคิดแบบภาษาอังกฤษไปเลย
เพราะการคิดแบบภาษาไทยแล้วแปลกลับเป็นภาษาอังกฤษอาจทำให้รายละเอียดตกหล่นระหว่างการแปลได้
ผู้เรียนจึงต้องทำความคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษด้วยการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ
จะเป็นการฟังหรือการอ่านก็ได้ เพื่อสร้างความคุ้นเคยในการใช้ภาษาอังกฤษ
แต่ในระหว่างที่ยังไม่คุ้นกับการใช้ภาษาอังกฤษ
ก็มีวิธีช่วยพัฒนาทักษะการเขียนดังนี้ การเขียนร่างหลาย ๆ ครั้ง
หรือเขียนแล้วทบทวน แก้ไขหลาย ๆ รอบ สำหรับงานเขียนที่มีเวลามาก
อาจเขียนเสร็จและตรวจรอบแรกแล้วก็ให้ทิ้งไว้ซัก 3 วัน เมื่ออ่านอีกทีก็แก้ไขส่วนที่ยังบกพร่องแล้วเว้นไว้อีก 5
วัน จึงค่อยแก้อีกรอบ ยิ่งแก้มากเท่าไร
งานก็จะยิ่งมีความถูกต้องมากขึ้นเท่านั้น
ต่อไปคือการแต่งประโยคให้มีความสละสลวยและกระชับ โดยการจับเอาประโยคหรือคำที่มีหน้าที่หรือมีลักษณะไปในทางเดียวกันมาจัดกลุ่มและเรียงให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
เช่น He has beautiful eyes. They are green.
และ He is looking right at me.
ก็ลองรวมเป็น His beautiful
green eyes are looking right at me. ซึ่งสามารถฝึกฝนการแปลงรูปประโยคได้จากการอ่านและการฟังเยอะ ๆ
หลังจากนั้นจึงอ่านออกเสียงเผื่อสะดุด
การอ่านจะทำให้เราได้ใช้ประสาทสัมผัสเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งประสาทสัมผัสที่ว่านั้นจะเป็นตัวช่วยตรวจสอบ
เพราะบางครั้งเราอ่านไปอ่านมาอาจรู้สึกแปลก ๆ กับประโยคก็เป็นได้ และหากมีปะโยคที่ยังไม่มั่นใจว่าเขียนถูกหรือไม่
วางคำขยายต่าง ๆ ถูกต้องหรือยัง ก็ให้พิมพ์ประโยคนั้น ๆ ลงใน Google ผลลัพธ์ที่ขึ้นมาจะช่วยยืนยันได้ว่ามีคนเขียนหรือใช้แบบนั้นหรือไม่
แต่ก็จำเป็นที่จะต้องสังเกตบริบทของประโยคว่าเหมือนกับของเราหรือไม่
ดังจะเห็นได้ว่า
หากต้องการที่จะมีทักษะการเขียนภาษาอังกฤษที่ดีแล้ว
จำเป็นที่ผู้เรียนจะต้องหมั่นฝึกฝนและปฏิบัติซ้ำ ๆ เพื่อให้เกิดความเคยชิน
จนเกิดความชำนาญในทักษะ
ซึ่งผู้เรียนจะต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและมีวินัยในการฝึกฝนทุกครั้ง
และที่สำคัญคือการคิดแบบภาษาอังกฤษไปเลยจะช่วยลดความสับสนในการใช้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนได้
แน่นอนว่าหากผู้เรียนมีความตั้งใจที่อยากจะฝึกฝนแล้ว
ผู้เรียนก็จะสามารถเขียนงานเขียนได้อย่างคล่องแคล่วและมีความถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
ตลอดจนมีการใช้คำที่มีความซาบซึ้งและแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของงานเขียนนั้น ๆ
ซึ่งวิธีฝึกฝนทักษะการเขียนดังกล่าว
ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสามารถเป็นแนวทางในการฝึกฝนทักษะการเขียนภาษาอังกฤษของผู้เรียนหรือผู้สนใจได้เป็นอย่างดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น